
รู้หรือไม่เทคโนโลยีอย่างโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เกม สื่อออนไลน์ และเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยอย่างไม่น่าเชื่อ
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเราค่อนข้างมาก แม้ว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้ชีวิตดียิ่งขึ้น หากแต่การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็นและเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้ กลับส่งผลเสียต่อสุขภาพก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยนานัปการ
1. หูดับเพราะโทร.นาน
ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเราค่อนข้างมาก แม้ว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้ชีวิตดียิ่งขึ้น หากแต่การใช้เทคโนโลยีเกินความจำเป็นและเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้ กลับส่งผลเสียต่อสุขภาพก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยนานัปการ
1. หูดับเพราะโทร.นาน

เชื่อหรือไม่ว่าการใช้โทรศัพท์พูดคุยกันตลอดเวลานั้นสามารถทำร้ายหูของเราได้ ดังกรณีของคนที่เคยใช้โทรศัพท์มือถือนานกว่า 3,000 นาที (ประมาณ 50 ชั่วโมง) ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนอาจส่งผลให้หูสูญเสียการได้ยินชั่วคราว หรือเรียกว่าอาการหูดับ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะก็จะกลับมาได้ยินเป็นปกติแต่อาจจะไม่ชัดเจนเท่าเดิม และอาจมีโอกาสเกิดอาการหูดับได้อีก
นอกจากนี้เครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาและโทรศัพท์มือถือ ยังก่อให้เกิดโรคหูดับได้เช่นกัน เนื่องจากเสียง ความร้อน และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าล้วนเป็นตัวการทำร้ายระบบการได้ยิน ซึ่งทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
หูดับและหนวก การใช้โทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ เข้าไปรบกวนระบบการทำงานของคลื่นไฟฟ้าและอิเล็กทรอไลต์ในหู รวมทั้งทำให้อวัยวะต่างๆ ภายในหูสั่นสะเทือน ส่งผลให้เกิดความร้อนภายในหู จนสามารถทำลายเซลล์ประสาทหูได้
ความดังที่เหมาะสมต่อสุขภาพหูคือ ไม่ควรเกิน 70 เดซิเบล แต่ในการใช้หูฟัง คนส่วนใหญ่จะต้องเปิดเสียงให้ดังกว่าเสียงแวดล้อมประมาณ 10 เดซิเบลขึ้นไปจึงจะได้ยินชัดเจน ฉะนั้น การอยู่ในที่ที่เสียงแวดล้อมมีความดังมาก เช่น บนเครื่องบิน ในรถโดยสาร บริเวณสถานีรถไฟฟ้า (ประมาณ 95 เดซิเบล) ฯลฯ จึงยิ่งต้องเปิดเสียงให้ดังมากกว่าปกติ คลื่นเสียงที่ดังมากจึงเข้าไปทำปฏิกิริยากับแก้วหูและทำลายเซลล์ประสาทหู
สาเหตุทั้งสองประการทำให้ระบบการแยกเสียงในเบื้องต้นเสียก่อน จะเริ่มสูญเสียการได้ยินทีละน้อย ซึ่งทำให้เกิดอาการหูดับชั่วคราวหรือร้ายแรงจนถึงขั้นหูหนวก
ปวดศีรษะ การใช้งานโทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำให้แบตเตอรี่เกิดความร้อน ส่งผลให้หูและศีรษะสัมผัสความร้อนโดยตรง แม้จะยังไม่มีการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบจากความร้อนที่ชัดเจน แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาหูร้อนสะสม จนลามเป็นอาการปวดศีรษะ
ผิวหนังอักเสบ การใช้หูฟังชนิดครอบทำให้ที่ครอบกดใบหูแนบกับเนื้อบริเวณด้านหลังใบหู นอกจากทำให้เจ็บกระดูกหูแล้ว หากใช้เป็นเวลานานจนเกิดความร้อน จะทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวอักเสบ และติดเชื้อลุกลามจนสามารถทำให้หูอักเสบได้
วิธีฉลาดใช้เพื่อสุขภาพ
1. ควรฟังเพลงจากลำโพงแทนการใช้หูฟัง
2. หลีกเลี่ยงการฟังเพลงโดยใช้หูฟังในที่ที่มีเสียงแวดล้อมดัง
3. หากใช้หูฟัง ควรเปิดระดับเสียงประมาณครึ่งหนึ่งของเสียงที่เครื่องมีอยู่โดยใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ
4. หลีกเลี่ยงการฟังเพลงขณะนอนหลับ โดยเฉพาะเพลงที่มีจังหวะเร็วหรือหนัก เพราะทำให้อวัยวะในหูสั่นสะเทือนและสมองตื่นตัวตลอดเวลา
2. ตาเสื่อมก่อนวัยจากโทรทัศน์
นอกจากนี้เครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาและโทรศัพท์มือถือ ยังก่อให้เกิดโรคหูดับได้เช่นกัน เนื่องจากเสียง ความร้อน และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าล้วนเป็นตัวการทำร้ายระบบการได้ยิน ซึ่งทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
หูดับและหนวก การใช้โทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์ เข้าไปรบกวนระบบการทำงานของคลื่นไฟฟ้าและอิเล็กทรอไลต์ในหู รวมทั้งทำให้อวัยวะต่างๆ ภายในหูสั่นสะเทือน ส่งผลให้เกิดความร้อนภายในหู จนสามารถทำลายเซลล์ประสาทหูได้
ความดังที่เหมาะสมต่อสุขภาพหูคือ ไม่ควรเกิน 70 เดซิเบล แต่ในการใช้หูฟัง คนส่วนใหญ่จะต้องเปิดเสียงให้ดังกว่าเสียงแวดล้อมประมาณ 10 เดซิเบลขึ้นไปจึงจะได้ยินชัดเจน ฉะนั้น การอยู่ในที่ที่เสียงแวดล้อมมีความดังมาก เช่น บนเครื่องบิน ในรถโดยสาร บริเวณสถานีรถไฟฟ้า (ประมาณ 95 เดซิเบล) ฯลฯ จึงยิ่งต้องเปิดเสียงให้ดังมากกว่าปกติ คลื่นเสียงที่ดังมากจึงเข้าไปทำปฏิกิริยากับแก้วหูและทำลายเซลล์ประสาทหู
สาเหตุทั้งสองประการทำให้ระบบการแยกเสียงในเบื้องต้นเสียก่อน จะเริ่มสูญเสียการได้ยินทีละน้อย ซึ่งทำให้เกิดอาการหูดับชั่วคราวหรือร้ายแรงจนถึงขั้นหูหนวก
ปวดศีรษะ การใช้งานโทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำให้แบตเตอรี่เกิดความร้อน ส่งผลให้หูและศีรษะสัมผัสความร้อนโดยตรง แม้จะยังไม่มีการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบจากความร้อนที่ชัดเจน แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาหูร้อนสะสม จนลามเป็นอาการปวดศีรษะ
ผิวหนังอักเสบ การใช้หูฟังชนิดครอบทำให้ที่ครอบกดใบหูแนบกับเนื้อบริเวณด้านหลังใบหู นอกจากทำให้เจ็บกระดูกหูแล้ว หากใช้เป็นเวลานานจนเกิดความร้อน จะทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวอักเสบ และติดเชื้อลุกลามจนสามารถทำให้หูอักเสบได้
วิธีฉลาดใช้เพื่อสุขภาพ
1. ควรฟังเพลงจากลำโพงแทนการใช้หูฟัง
2. หลีกเลี่ยงการฟังเพลงโดยใช้หูฟังในที่ที่มีเสียงแวดล้อมดัง
3. หากใช้หูฟัง ควรเปิดระดับเสียงประมาณครึ่งหนึ่งของเสียงที่เครื่องมีอยู่โดยใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ
4. หลีกเลี่ยงการฟังเพลงขณะนอนหลับ โดยเฉพาะเพลงที่มีจังหวะเร็วหรือหนัก เพราะทำให้อวัยวะในหูสั่นสะเทือนและสมองตื่นตัวตลอดเวลา
2. ตาเสื่อมก่อนวัยจากโทรทัศน์

โดยทั่วไปแล้วประสิทธิภาพการมองเห็นของคนเราจะเสื่อมถอยไปตามอายุ แต่เมื่อไรที่ใช้สายตามากเกิน ก็อาจทำให้สายตาเสื่อมตั้งแต่ยังเด็ก
ตาเสื่อมก่อนวัย การดูโทรทัศน์ที่มีภาพเคลื่อนไหว มีแสงจ้ามาก และการดูในที่มืดทำให้สายตาต้องคอยปรับโฟกัส ปรับความมืดและสว่างสลับไปมา และยังทำให้ม่านตาต้องทำงานตลอดเวลา ส่งผลให้ปวดตาง่ายกว่าปกติ และทำให้ส่วนต่างๆ ในดวงตาเสื่อมก่อนเวลาอันควร ไม่ว่าจะเป็นวุ้นในลูกตาหรือจอประสาทตา ปัญหาดังกล่าวทำให้การมองเห็นค่อยๆ ลดลงและยังเสี่ยงตาบอดในที่สุด
ถูกสะกดจิตและเป็นคนขาดความอดทน ในเชิงจิตวิทยาการที่รายการโทรทัศน์ยุคปัจจุบัน มักนำเสนอข่าวสารและโฆษณาผ่านแถบวิ่งด้านล่างของหน้าจอ จะทำให้ผู้ชมได้รับข้อความดังกล่าวซ้ำๆ ซึ่งสามารถสะกดให้ผู้ชมจดจำสิ่งที่นำเสนอ ติดอยู่ในความคิดและความทรงจำ หากเป็นเนื้อหาในด้านลบอาจส่งผลต่อจิตใจ พฤติกรรม และสุขภาพ
ส่วนการใช้รีโมตเพื่อปรับเปลี่ยนช่องให้รวดเร็วทันใจ เป็นการกระตุ้นให้สมองเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา จึงมีแนวโน้มทำให้เป็นคนมีนิสัยเบื่อง่าย เปลี่ยนใจง่ายและขาดความอดทน
วิธีฉลาดใช้เพื่อสุขภาพ
1. ควรดูโทรทัศน์ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
2. ไม่ควรดูรายการที่มีภาพเคลื่อนไหวมากเป็นเวลานาน เพราะทำให้ต้องใช้สายตามากกว่าปกติ
3. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนช่องโทรทัศน์บ่อยเกินไป
4. ควรเปิดรับสารจากสื่ออื่นนอกจากโทรทัศน์บ้าง
3. จากภูมิแพ้สู่ไซนัสเพราะห้องปรับอากาศ

แม้เครื่องปรับอากาศทั้งในอาคารและยานพาหนะจะให้ความเย็นสบายและช่วยฟอกอากาศ แต่หากไม่ได้ทำความสะอาด ก็กลับเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี
ภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ คนบางกลุ่มไวต่อสารก่อโรคประเภทละอองเชื้อรา และฝุ่นที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ หากร่างกายได้รับเชื้อโรคและฝุ่นละออง จะทำให้มีอาการภูมิแพ้ ซึ่งแบ่งออกเป็นภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูก) ทำให้มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม และภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจส่วนบน - ส่วนล่าง (ปอด) ก่อให้เกิดโรคหืด
ไซนัสอักเสบ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจส่วนบนมีโอกาสพัฒนาเป็นไซนัสอักเสบง่ายมาก เนื่องจากเยื่อบุโพรงจมูกบวมง่ายกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อในโพรงจมูก และตามจุดไซนัส เช่น หว่างคิ้ว แก้ม จึงมีอาการคัดจมูก น้ำมูกเขียว มีกลิ่นปาก ปวดศีรษะและปวดจุดไซนัส นอกจากนี้การติดเชื้อ ยังสามารถลุกลามเข้าสู่กระบอกตาจนทำให้ตาบอด หรือหากเข้าสู่สมองอาจทำให้เสียชีวิตได้
วิธีฉลาดใช้เพื่อสุขภาพ
1. ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศทุก 6 เดือน
2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศและพรมโดยไม่มีการระบายอากาศ
4. เล่นเกมสนุกจนกล้ามเนื้ออักเสบ
ภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ คนบางกลุ่มไวต่อสารก่อโรคประเภทละอองเชื้อรา และฝุ่นที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ หากร่างกายได้รับเชื้อโรคและฝุ่นละออง จะทำให้มีอาการภูมิแพ้ ซึ่งแบ่งออกเป็นภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูก) ทำให้มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม และภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจส่วนบน - ส่วนล่าง (ปอด) ก่อให้เกิดโรคหืด
ไซนัสอักเสบ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจส่วนบนมีโอกาสพัฒนาเป็นไซนัสอักเสบง่ายมาก เนื่องจากเยื่อบุโพรงจมูกบวมง่ายกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อในโพรงจมูก และตามจุดไซนัส เช่น หว่างคิ้ว แก้ม จึงมีอาการคัดจมูก น้ำมูกเขียว มีกลิ่นปาก ปวดศีรษะและปวดจุดไซนัส นอกจากนี้การติดเชื้อ ยังสามารถลุกลามเข้าสู่กระบอกตาจนทำให้ตาบอด หรือหากเข้าสู่สมองอาจทำให้เสียชีวิตได้
วิธีฉลาดใช้เพื่อสุขภาพ
1. ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศทุก 6 เดือน
2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศและพรมโดยไม่มีการระบายอากาศ
4. เล่นเกมสนุกจนกล้ามเนื้ออักเสบ

เกมบังคับและโทรศัพท์มือถือชนิดมีแป้นพิมพ์ขนาดเล็กกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ แม้จะสร้างความสนุกสนานแก่ผู้ใช้ แต่ก็สามารถทำร้ายสุขภาพได้ดังนี้
เอ็นข้อมืออักเสบ หรือเดอเกอร์แวงดีซีส (De Quervain's Disease) เกิดจากการใช้นิ้วหัวแม่มือมากเกินไป เช่น การกดปุ่มเกมซ้ำๆ การส่งข้อความพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือบางครั้ง จึงเรียกว่า อาการแบล็กเบอร์รี่ทัมป์ หรือนินเทนโดทัมป์ ซึ่งจะทำให้เอ็นกล้ามเนื้อของนิ้วหัวแม่มือเคลื่อนไหวเกินความจำเป็น จนทำให้เกิดอาการปวดบริเวณฐานหัวแม่มือและลามถึงข้อศอก
นิ้วมืองอติด (Trigger Finger) อาจลุกลามมาจากอาการเอ็นข้อมืออักเสบ ซึ่งเกิดจากช่องเอ็นกล้ามเนื้อของนิ้วเกิดหนาตัว จนรัดเอ็นโดยเฉพาะนิ้วที่ใช้งานมาก เช่น นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลางและนิ้วนาง นิ้วจึงเคลื่อนไหวไม่สะดวก และติดอยู่ในท่างออาการนี้มักเป็นในตอนเช้า ทำให้มีอาการปวดข้อและเหยียดนิ้วลำบากหรือไม่ได้เลย
ติดเกมออนไลน์เพิ่มภาวะซึมเศร้า
เกมออนไลน์เป็นชุมชนเสมือน จริงที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตของวัยรุ่น จากการสำรวจการเล่นเกมออนไลน์ของเยาวชนอายุระหว่าง 10 - 24 ปี ของเอแบคโพลล์ปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีเยาวชนเพียง 6.5เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ไม่เคยเล่นเกมออนไลน์
แพทย์หญิงณัฏฐิณี ชินะจิตพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์กล่าวว่า โลกออนไลน์เป็นการตอบสนองความต้องการของมนุษย์อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นความสนุก ความเพลิดเพลิน การได้ติดต่อเชื่อมโยงกับผู้คนการได้รับการยอมรับ และการได้รับการสนับสนุนทางความคิดซึ่งการอยู่ในโลกออนไลน์มากเกินไปอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้
.jpg)
ติดเกมออนไลน์ คนที่ติดเกมออนไลน์จะมีอาการคล้ายคนติดยาเสพติด คือต้องการเล่นเกมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม หากถูกห้ามเล่นจะหงุดหงิดจนถึงขั้นก้าวร้าวเกมออนไลน์จะใช้ระบบการให้รางวัล ทำให้ผู้เล่นเกมรู้สึกว่าตัวเองได้รับรางวัลและชัยชนะอยู่เรื่อยๆ โดยจะให้รางวัลเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา พอคนกำลังเบื่อก็จะให้รางวัลใหญ่ๆ เพื่อจูงใจให้เล่นต่อเนื่องไปไม่รู้จบ
ภาวะซึมเศร้า เมื่อติดเกมออนไลน์มากขึ้น อาจจะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าได้ โดยจะติดอยู่ในโลกเสมือนจริงมากเกินไป ทำให้ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การศึกษา ปลีกตัวออกจากสังคม ทำให้การใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงล้มเหลวและตกอยู่ในความโศกเศร้า เฝ้าโทษเคราะห์กรรมของตัวเองโดยไม่ได้คำนึงถึงสาเหตุที่แท้จริง
วิธีฉลาดใช้เพื่อสุขภาพ
1. ลดจำนวนชั่วโมงการเล่นเกมลงหรือเลิกอย่างเด็ดขาด
2. ชวนเพื่อนหรือคนในครอบครัวไปทำกิจกรรมนอกบ้าน
3. หากมีอาการของโรคซึมเศร้าร่วมด้วย ควรพบจิตแพทย์เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและรับการรักษา
5. สมองถดถอยเพราะใช้เทคโนโลยี

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีใช้งานง่ายอื่นๆ อีก เช่น เครื่องคิดเลข โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสมองได้
ภาวะสมองเสื่อม ในเชิงจิตวิทยามนุษย์มีความฉลาดหลายด้านเรียกว่าพหุปัญญา (Multiple Intelligence) ได้แก่ ความฉลาดทางภาษา ตรรกศาสตร์ มิติสัมพันธ์ ร่างกายและการเคลื่อนไหว ดนตรี มนุษยสัมพันธ์ การเข้าใจตนเอง และธรรมชาติวิทยา แต่ความสะดวกสบายจากการใช้เทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย ทำให้คนเราคิดและลงมือทำด้วยตัวเองน้อยลง ทำให้สมองที่ควรจะพัฒนาความฉลาดได้หลากหลายด้านกลับพัฒนาได้เพียงไม่กี่ด้าน จนอาจส่งผลให้ความสามารถของสมองถดถอยตลอดจนสมองเสื่อมก่อนวัย
เคล็ดลับป้องกันสมองเสื่อม
ลดการใช้เทคโนโลยีลงและหันมาพึ่งพาสมองและแรงกายมากขึ้น เพื่อพัฒนาความฉลาด เช่น
ฝึกร่างกายและการเคลื่อนไหว โดยใช้การเขียนแทนการพิมพ์ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
ฝึกความฉลาดทางภาษา ด้วยการจดจำคำศัพท์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
การจดบันทึกสิ่งต่างๆ ลงในสมุดแทนการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก (พีดีเอ) การคิดเลขในใจแทนการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
6. คอมพิวเตอร์
ภาวะสมองเสื่อม ในเชิงจิตวิทยามนุษย์มีความฉลาดหลายด้านเรียกว่าพหุปัญญา (Multiple Intelligence) ได้แก่ ความฉลาดทางภาษา ตรรกศาสตร์ มิติสัมพันธ์ ร่างกายและการเคลื่อนไหว ดนตรี มนุษยสัมพันธ์ การเข้าใจตนเอง และธรรมชาติวิทยา แต่ความสะดวกสบายจากการใช้เทคโนโลยีที่ใช้งานง่าย ทำให้คนเราคิดและลงมือทำด้วยตัวเองน้อยลง ทำให้สมองที่ควรจะพัฒนาความฉลาดได้หลากหลายด้านกลับพัฒนาได้เพียงไม่กี่ด้าน จนอาจส่งผลให้ความสามารถของสมองถดถอยตลอดจนสมองเสื่อมก่อนวัย
เคล็ดลับป้องกันสมองเสื่อม
ลดการใช้เทคโนโลยีลงและหันมาพึ่งพาสมองและแรงกายมากขึ้น เพื่อพัฒนาความฉลาด เช่น
ฝึกร่างกายและการเคลื่อนไหว โดยใช้การเขียนแทนการพิมพ์ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
ฝึกความฉลาดทางภาษา ด้วยการจดจำคำศัพท์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
การจดบันทึกสิ่งต่างๆ ลงในสมุดแทนการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก (พีดีเอ) การคิดเลขในใจแทนการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
6. คอมพิวเตอร์

นอกจากคอมพิวเตอร์จะเพิ่มโอกาสให้เกิดอาการตาเสื่อมก่อนวัยได้เช่นเดียวกับ โทรทัศน์แล้ว การใช้คอมพิวเตอร์ยังก่อให้เกิดอาการอีกมากมายดังต่อไปนี้
คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมหรือซีวีเอส (CVS: Computer Vision Syndrome) เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน และใช้คอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพไม่เหมาะสม อาการหลักคือทำให้ดวงตาล้า แห้งและพร่ามัว ตลอดจนปวดแขน ไหล่และคอ เพราะต้องนั่งในท่าเดิมโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ
ประสาทมือชาหรือซีทีเอส (CTS: Carpal Tunnel Syndrome) การพิมพ์และการใช้เมาส์โดยวางข้อมือในตำแหน่งและท่าเดิมต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทำให้เส้นประสาทบริเวณหน้าข้อมือถูกกดทับซ้ำๆ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกทำให้มีอาการมือชา กล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ปวดข้อมือ และอาจปวดลามไปถึงแขนและไหล่ อาการดังกล่าวมักแสดงออกตอนกลางคืนหรือหลังจากตื่นนอน
เกิดพิษเฉียบพลัน ขณะที่คอมพิวเตอร์กำลังทำงาน พัดลมระบายความร้อน จะพัดระบายกลิ่นจากการเผาไหม้แผงวงจรภายในคอมพิวเตอร์ออกมาด้วย ซึ่งเป็นกลิ่นสารประกอบประเภทโลหะ ทองแดง ตะกั่ว ฯลฯ ที่เป็นสารพิษอันตราย หากสูดดมในปริมาณมากจะทำให้วิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้อาเจียนเฉียบพลัน ดังนั้นผู้ที่อยู่ในห้องที่มีคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากแต่การระบายอากาศไม่ดี เช่น พนักงานออฟฟิศ ผู้ที่ใช้บริการร้านอินเทอร์เน็ต จึงเสี่ยงต่อการเกิดอาการดังกล่าว
ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหรือเส้นเลือดขอด (Deep Vein Thrombosis) การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกซึ่งอาการมักเกิดที่ขา ทำให้ขาบวม หากลิ่มเลือดหลุดไปตามกระแสเลือดแล้วกลับเข้าสู่หัวใจหรืออวัยวะอื่นๆ อาจเสี่ยงต่อการหมดสติ ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดแข็งตัวผิดปกติ อายุมาก และอ้วน มีความเสี่ยงที่จะมีอาการดังกล่าวมากกว่าปกติ
วิธีฉลาดใช้เพื่อสุขภาพ
1. ใช้คอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอและควรปรับชั่วโมงการใช้ (ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 ชั่วโมง)
2. หมั่นพักสายตาและเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างการใช้งาน เช่น สะบัดข้อมือ ลุกขึ้นยืน
3. วางคอมพิวเตอร์ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทเพื่อระบายกลิ่นจากการเผาไหม้วงจร
ที่มา Vcharkarn.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น