
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ภัยเงียบข้างตัวคุณ
โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง ทำให้กระดูกหักง่าย แม้จะได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย ในภาวะปกติ กระดูกของคนเราจะมีการสร้างและทำลายเนื้อเยื่อไปพร้อม ๆ กันตลอดเวลา แต่ในบางโอกาส จะถูกกระตุ้นให้มีการทำลายเนื้อกระดูกมากขึ้น ส่งผลให้กระดูกบางหรือพรุน และจะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุ

อาการของโรคกระดูกพรุนเป็นอย่างไร
โรคกระดูกพรุนจะเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ เราจะไม่มีทางรู้ตัวจนกว่าจะเป็นมาก ๆ แล้ว คือจะเจ็บบริเวณกระดูกหรือข้อ เตี้ยลงเนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัว ทำให้หลังงอ ซึ่งจะส่งผลไปยังช่องท้อง ระบบอาหารถูกกระทบกระเทือน เมื่อมีอายุที่มากขึ้น กระดูกสันหลัง ข้อมือ และสะโพกจะหักง่าย โดยเฉพาะสะโพก เมื่อหักแล้ว โอกาสที่จะเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 25 มีเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น ที่จะกลับมาเดินได้ตามปกติ และจะมีชีวิตสั้นกว่าคนอื่น ๆ สุขภาพจะเสื่อมลงเรื่อย ๆ ทำให้ต้องเสียเงินทองมากมายไปกับรักษาพยาบาล
ใครเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนบ้าง
1.อยู่ในวัยทองหรือผู้สูงอายุ เป็นได้ทั้งชายและหญิงเท่า ๆ กัน
2.มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือหกล้มแล้วกระดูกหักง่าย
3.เป็นชาวเอเชียหรือคนผิวขาว
4.รูปร่างเล็กและผอมบาง
5.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ
6.ไม่ออกกำลังกาย
7.สูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุรา
8.รับประทานอาหารโปรตีนและรสเค็มมากเกินไป
9.ใช้ยาสเตียรอยด์ ยากันชัก หรือได้รับยาฮอร์โมนไทรอยด์ขนาดสูงเป็นเวลานาน
10.มีโรคเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบ โรคไต
2.มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือหกล้มแล้วกระดูกหักง่าย
3.เป็นชาวเอเชียหรือคนผิวขาว
4.รูปร่างเล็กและผอมบาง
5.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ
6.ไม่ออกกำลังกาย
7.สูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุรา
8.รับประทานอาหารโปรตีนและรสเค็มมากเกินไป
9.ใช้ยาสเตียรอยด์ ยากันชัก หรือได้รับยาฮอร์โมนไทรอยด์ขนาดสูงเป็นเวลานาน
10.มีโรคเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบ โรคไต
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกระดูกพรุน
ปัจจุบัน แพทย์สามารถวินิจฉับโรคกระดูกพรุนได้ โดยการวัดความหนาแน่นของเนื้อกระดูก การตรวจนี้จะใช้แสงเอ็กซเรย์ที่มีปริมาณน้อยมากส่องบริเวณที่ต้องการตรวจแล้วใช้คอมพิวเตอร์ คำนวณหาค่าความหนาแน่นของกระดูก เปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน ใช้เวลาเพียง 3-5 นาที ก็รู้ผล

จะป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร
โดยปกติ เราจะเริ่มสูญเสียกระดูกตั้งแต่อายุ 30 ถึง 40 ปี และสำหรับผู้ที่ทานยาบางชนิดเป็นประจำ หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อาจเริ่มพรุนได้เร็วกว่านี้
ดังนั้นการสะสมเนื้อกระดูกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวจะเป็นวิธีการป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดีที่สุด รวมถึงการเข้ารับการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Densitometer) ซึ่งสามารถตรวจพบการลดลงของเนื้อกระดูกตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นได้ และยังสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนด้วยการ
1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
2.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4.ไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป หรืออาหารที่มีรสเค็มจัดเกินไป
5.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์และยาลูกกลอน
6.ไม่ควรดื่มชาหรือกาแฟเกินวันละ 2 แก้ว
ดังนั้นการสะสมเนื้อกระดูกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาวจะเป็นวิธีการป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดีที่สุด รวมถึงการเข้ารับการตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Densitometer) ซึ่งสามารถตรวจพบการลดลงของเนื้อกระดูกตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นได้ และยังสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนด้วยการ
1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
2.รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4.ไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป หรืออาหารที่มีรสเค็มจัดเกินไป
5.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์และยาลูกกลอน
6.ไม่ควรดื่มชาหรือกาแฟเกินวันละ 2 แก้ว
ถ้าเป็นแล้ว จะรักษาได้อย่างไร
ในกรณีที่กระดูกหัก หรือกระดูกทรุดจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดเพื่อรักษา นอกจากนี้จะมีการใช้ยาในการรักษาด้วย โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- ยาระงับการทำลายกระดูก ได้แก่ ฮอร์โมนเพศหญิง ยาแคลซิโนทิน ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนท และยาราลอกซิฟิน
- ยากระตุ้นการสร้างกระดูก ได้แก่ วิตามินดีและแคลเซียม โดยยาเหล่านี้ควรได้รับอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
นอกจากจากใช้ยารักษาแล้ว ผู้ป่วยเองสามารถดูแลตัวเองได้ เพียงรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ใบชะพลู เห็ดหอม ดอกแค ผักกะเฉด ถั่วแดง เม็ดบัว กุ้งแห้ง กะปิ เป็นต้น และการออกกำลังที่มีน้ำหนักกดลงบนกระดูก จะช่วยป้องกันการทำลายกระดูกและช่วยเสริมสร้างกระดูกไปด้วย
- ยาระงับการทำลายกระดูก ได้แก่ ฮอร์โมนเพศหญิง ยาแคลซิโนทิน ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนท และยาราลอกซิฟิน
- ยากระตุ้นการสร้างกระดูก ได้แก่ วิตามินดีและแคลเซียม โดยยาเหล่านี้ควรได้รับอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์
นอกจากจากใช้ยารักษาแล้ว ผู้ป่วยเองสามารถดูแลตัวเองได้ เพียงรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ใบชะพลู เห็ดหอม ดอกแค ผักกะเฉด ถั่วแดง เม็ดบัว กุ้งแห้ง กะปิ เป็นต้น และการออกกำลังที่มีน้ำหนักกดลงบนกระดูก จะช่วยป้องกันการทำลายกระดูกและช่วยเสริมสร้างกระดูกไปด้วย
เตรียมตัวดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าโรคไหน ๆ ก็ไม่มีทางจะทำร้ายคุณและคนที่คุณรักได้อีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น