วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไมเกรน


ไมเกรน หรือ โรคไมเกรน
                  ปัญหาทางระบบประสาทอย่างหนึ่ง ที่สร้างความทรมานอย่างยิ่งให้กับผู้ที่ต้องเผชิญคือ อาการปวดหัว โดยมากมักเป็น ๆ หาย ๆ บ้างก็ทราบสาเหตุ บ้างก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่เมื่อเป็นแล้วนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตในด้านอื่น ๆ อีกด้วย
ปวดศีรษะ (Headaches)
                  ปัญหาของอาการปวดศีรษะมักเกิดจากสาเหตุต่า งๆ ทั้งจากโรคของสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง โรคหลอดเลือดสมอง การอักเสบของเส้นประสาท และปัญหาที่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น ความดันโลหิตสูง รับประทานยาบางชนิด เป็นไข้ กระดูกคอเสื่อม ความเครียด ไมเกรน สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ อาจแยกจากกันไม่ได้ชัดเจน ต้องอาศัยการตรวจพิเศษและดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
อาการสำคัญที่ควรพบแพทย์ด่วน 1.อาการปวดศีรษะเฉียบพลัน หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ2.มีอาการอาเจียน เป็นไข้ คอแข็ง แขนขาชาและอ่อนแรง ตามองไม่เห็น เป็นอาการร่วมกับการปวดศีรษะ หรือเป็นอาการนำ
 
3.เสียการทรงตัว หมดสติ สับสนจำอะไรไม่ได้
 
4.ผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดเป็นเวลานานกว่า เดือน แต่อาการไม่ทุเลาหรือมีอาการมากขึ้นปวดศีรษะ ไมเกรน
           ไมเกรน และความเครียด เป็นสาเหตุของการปวดศีรษะ 85-90% ของประชากรทั่วไป ปวดศีรษะ ไมเกรน มีอาการดังต่อไปนี้
 ปวดเป็นพักๆ จะเป็นๆ หายๆ ข้างใดข้างหนึ่ง ปวดตุบๆ เหมือนชีพจรกำลังเต้น บางรายปวดมากจนทำงานไม่ได้อาการปวด ไมเกรน มักปวดบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ขมับและขากรรไกรอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนเห็นแสงสว่าง แสงสี ตาพร่ามัว ก่อนหรือระหว่างการปวดศีรษะ ไมเกรน ระยะเวลาในการปวด ไมเกรนนานประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งมักพบการปวด ไมเกรน ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
 อาการปวดศีรษะ ไมเกรน มักจะเริ่มช่วงวัยรุ่นเมื่ออายุมากขึ้น บางครั้งผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนอาจจะมีอาการนำ aura เช่นเห็นแสงแลบ ตามองไม่เห็น ชาซีกใดซีกหนึ่งเรียกว่า "Classic Migrain" แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการนำเรียกว่า "Common Migrain"  ถึงแม้ว่า ไมเกรน เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่หากเข้าใจโรคและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ก็สามารถทำให้ควบคุมโรค ไมเกรน ได้สาเหตุของการปวดศีรษะ ไมเกรน
              ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่า สาเหตุของ ไมเกรน เกิดจากอะไร เชื่อว่าเกิดจากการหลั่งสารเคมีรอบๆ เส้นเลือดสมอง ทำให้มีการปวด ไมเกรน เกิดขึ้นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ไมเกรน
1.การนอนหลับมาก หรือน้อยเกินไป หรือนอนไม่เป็นเวลา
2.รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรืออดอาหารนานๆ น้ำตาลในเลือดต่ำ3.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรสและสารกันบูด เนยแข็ง ช็อกโกแลต
 4.สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง อากาศร้อน รวมทั้งกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นน้ำหอม กลิ่นเหม็น ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย
5.การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ
6.ฮอร์โมนเพศสูง ช่วงมีประจำเดือน และการตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆการวินิจฉัยโรค ไมเกรน
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรค ไมเกรน โดยการซักประวัติและตรวจร่างกายทางระบบประสาท โดยถามถึงลักษณะอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด ความรุนแรงของอาการปวด อาการเตือนก่อนปวด และอาการร่วม รวมถึงระยะเวลาที่ปวดแต่ละครั้ง ความถี่ของการปวด เป็นต้น สำหรับการปวดศีรษะจากโรคอื่นๆ อาจมีลักษณะคล้ายกัน บางครั้งจึงมีความจำเป็นต้องตรวจพิเศษ เพื่อจำแนกโรคให้ชัดเจน
การรักษา ไมเกรน
1.ควรดูแลและรักษาสุขภาพอย่างใกล้ชิด นอนให้เพียงพอ นอนให้เป็นเวลา
 
2.หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ท่านสามารถสังเกตได้ เช่น อาหาร สิ่งแวดล้อม
 
3.การรักษาเพื่อขจัดความปวดโดยการใช้ยา ซึ่งมีทั้งยาแก้ปวด ไมเกรน และยาป้องกัน ไมเกรน ซึ่งการจะใช้ยาชนิดใด ควรได้รับการแนะนำหรือปรึกษาจากแพทย์ก่อน

ไข้เลือดออก


ไข้เลือดออก
อาการของไข้เลือดออกไม่จำเพาะ อาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ใผู้ใหญ่อาจจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดโรคนี้อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะสียชีวิต ลักษณะที่สำคัญของไข้เลือกออกคือ
  • ไข้สูงเฉียบพลัน ประมาณ 2-7 วัน
  • เบื่ออาหาร หน้าแดง ปวดศีรษะ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
  • บางรายอาจมีจุดเลือดสีแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา อาจมีกำเดาออก หรือเลือดออกตามไรฟัน และถ่ายอุจาระดำเนื่องจากเลือดออก และอาจทำให้เกิดอาการช็อคได้
  • ในรายที่ช็อคจะสังเกตได้จากการที่ไข้ลดแต่ผู้ป่วยซึมลง ตัวเย็น หมดสติและเสียชีวิตได้
การเจาะเลือดตรวจวินิจฉัย
การรักษา
ไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักเพียงประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อค และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงต่ำกว่าร้อยละ 1
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
การผลิตวัคซีนกำลังอยู่ในขั้นพัฒนา แต่มีปัญาเนื่องเชื้อมี สายพันธุ์ คาดการณ์ว่าจะสำเร็จและใช้ได้ในอนาคตอันใกล้ การป้องกันและการควบคุม
วิธีที่จะป้องกันและควบคุมไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการควบคุมการแพร่กระจายของยุงลาย 
  • กำจัดแหล่งเพราะพันธุ์ยุง เช่น กะละ ยาง กระป๋อง
  • หาฝาปิดภาชนะ เช่น โอ่ง ถังน้ำ
  • ในแหล่งน้ำสาธารณะอาจจะเลี้ยงปลาเพื่อกินลูกน้ำ หรือใส่สารเคมีเพื่อฆ่าลูกน้ำ
ขนิดของเชื้อแดงกีเชื้อไวรัสแดงกี เป็น single strnded RNA ไวรัสมีด้วยกัน ชนิด(serotype) DEN1 DEN2 DEN3 DEN4 ซึ่งมี antigen ร่วมกันบางส่วนทำให้เทื่อเกิดการติดเชื้อชนิดหนึ่ง จะเกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้ออีกชนิดหนึ่ง แต่ภูมิที่เกิดจะอยู่ได้ 6-12 เดือน ส่วนภูมิที่เกิดกับเชื้อที่ป่วยจะมีตลอดชีวิต เช่นหากเป็นไข้เลือดออกจากเชื้อDEN1 ผู้ป่วยจะมีภูมิต่อเชื้อนี้ตลอดชีวิต แต่จะมีภูมิต่อเชื้อแดงกีชนิดอื่นเพียง 6-12 เดือนเท่านั้นจาการศึกษาพบว่าการติดเชื้อซ้ำ หรือการติดเชื้อครั้งที่สองจะเป็นสาเหตุของโรคแดงกีได้ถึงร้อยละ 80-90 ในสมัยก่อนปี 2543พบว่าการระบาดของเชื้อแดงกีเกิดจากสายพันธ์ที่สอง DEN2 แต่หลังจากนั้นพบลดลง แต่จะพบสายพันธ์DEN3 มากขึ้น แต่หลังจากปี 2543 เชื้อสายพันธ์ที่สอง DEN2 เริ่มกลับมาพบมากขึ้นและมีอัตราการตายสูงเนื่องจากเป็นเชื้อที่หากเป็นแล้วจะเกิดอาการรุนแรงการ
อาการของโรคติดเชื้อไข้เลือดออก
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้เลือดออกอาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย หรืออาจจะเกิดอาการรุนแรงจนเสียชีวิต เมื่อหายร่างกายจะมีภูมิต่อเชื้อนั้นตลอดชีวิต ความรุนแรงของการติดเชื้อขึ้นกับอายุ ภาวะภูมิคุ้มกัน และความรุนแรงของเชื้อ ติดเชื้อไวรัสแดงกิวมีอการได้ แบบคือ

โรคฉี่หนู


โรคฉี่หนู Leptospirosis
          โรคฉี่หนูเป็นที่มักจะระบาดหน้าฝน โดยจะพบเชื้อโรคในปัสสาวะของหนู สุนัข สุนัขจิ้งจอก สัตว์เลี้ยงในบ้าน แต่พบมากในหนูซึ่งสามารถแพร่เชื้อออกมาได้โดยที่ตัวมันไม่เป็นโรค
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
ลักษณะของตัวเชื้อ เป็นเชื้อแบคทีเรียเป็นเส้นเกลียว spirochete เคลื่อนที่โดยการหมุน เชื้อนี้อยู่ตามดิน โคลน แหล่งน้ำ น้ำตก แมาน้ำลำคลองได้นานเป็นเดือน เคยมีรายงานว่าอยู่ได้นาน เดือนในที่น้ำท่วมขังโดยมีปัจจัยแวดล้อมเหมาะสม เช่น มีความชื้น แสงส่องไม่ถึง มีความเป็นกรดปานกลาง เกิดจากเชื้อ Leptospira interogans เป็นเชื้อแบคทีเรียมี 16 serogroup เชื้อที่เป็นสาเหตุในกรุงเทพ คือ bataviae และ javanica ส่วนในภูมิภาคเป็น akiyami,icterohemorrhagia มักจะพบการระบาดในเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน เนื่องจากเป็นฤดูฝนต่อหนาว มีน้ำขัง
การเกิดโรค
พบได้ทั่วโลกยกเว้นเขตขั้วโลกเนื่องจากมีสัตว์ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าปล่อยเชื้อนี้กับปัสสาวะ คนติดเชื้อนี้จากการสัมผัสปัสสาวะหรือดินที่ปนเปื้อนเชื้อนี้
กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค
  • เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา ชาวสวน
  • คนงานฟาณืมเลี้ยงสัตว์ โค สุกร ปลา
  • กรรมกรขุดท่อระบายน้ำ เหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์
  • กลุ่มอื่นๆ เช่น แพทย์ เจ้าหน้าที่ห้องทดลอง ทหารตำรวจที่ปฏิบัติงานตามป่าเขา
  • กลุ่มประชาชนทั่วไป มักเป็นเกิดในที่มีน้ำท่วม ผู้ที่บ้านมีหนูมาก ผู้ที่ปรุงอาหารหรือรับประทานอาหารที่ไม่สุก หรือปล่อยอาหารทิ้งไว้โดยไม่ปิดฝา
แหล่งรังโรค
หมายถึงเป็นที่พักของเชื้อ สัตว์ที่เป็นแหล่งพักได้แก่ หนู สุกร โค กระบือ สุนัข แรคคูณสัตว์อาจจะไม่มีอาการแต่สามารถปล่อยเชื้อได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรืออาจจะตลอดชีวิตสัตว์ ทำให้มีการติดต่อของเชื้อในสัตว์
  • จากการสำรวจหนูใน 27 จังหวัดเมื่อปี 2508 พบว่าทั้งหนูท่อ หนูบ้าน หนูนา เป็นแหล่งรังโรคที่สำคัญโดยพบเชื้อร้อยละ 10-50 รองลงมาได้แก่สุนัข
  • จากการสำรวจหนูนาพบว่าหนูพุกติดีเชื้อร้อยละ 40
  • จากการสำรวจสัตว์ในกรุงเทพเมื่อปี 2508 พบว่าหนูท่อติดเชื้อ 66% สุนัขติดเชื้อ 8 % แสดงว่าหนูเป็นตัวแพร่เชื้อ
  • การสำรวจเมื่อปี 2540 โดยสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติพบภูมิคุ้มกันในความ31% โค 28.25% แพะแกะ 27.35% สุกร 2.15%
การติดต่อของโรค
สัตว์ที่นำเชื้อได้แก่ พวกสัตว์แทะ เช่น หนู โดยเฉพาะ หนูนา หนูพุก รองลงมาได้แก่ สุนัข วัว ควาย สัตว์พวกนี้เก็บเชื้อไวในไตเมื่อหนูปัสสาวะเชื้อจะอยู่ในน้ำหรือดิน
  • เมื่อคนสัมผัสเชื้อซึ่งอาจจะเข้าทางแผล เยื่อบุในปากหรือตา หรือแผล ผิวหนังปกติที่เปียกชื้นเชื้อก็สามารถไชผ่านไปได้เช่นกัน
  • เชื้ออาจจะเข้าร่างกายโดยการดื่มหรือกินอาหารที่มีเชื้อระยะฟักตัวของโรค
  • โดยเฉลี่ยประมาณ 10 วันหรืออยู่ระหว่าง4-19 วันระยะติดต่อ
  • การติดต่อจากคนสู่คนเกิดได้น้อยมาก

โรคไข้หวัดใหญ่


โรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร
               ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อ Influenza virus เป็นการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ เช่น จมูก คอ หลอดลม และปอด เชื้ออาจจะลามเข้าปอดทำให้เกิดปอดบวม ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัวปวดกล้ามเนื้อมาก จะพบมากทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการเสียชีวิตมักจะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียนสำหรับไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไข้ไม่สูงมากในปี คศ.2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้
1.       ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีนคือเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน(เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน
2.      เด็กที่อายุ 6-23 เดือนควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย
3.       ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2)-like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1)-like, และ B/Hong Kong/330/2001
4.        ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท
การติดต่อ
เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายโดยทางเดินหายใจ วิธีการติดต่อได้แก่
  • ติดต่อโดยการไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางเยื่อบุตาและปาก
  • สัมผัสเสมหะของผู้ป่วยทางแก้วน้ำ ผ้า จูบ
  • สัมผัสทางมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
  • อ่านรายละเอียด
อาการของโรค
อาการของไข้หวัดใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัด แต่ไข้หวัดใหญ่จะเร็วกว่า ไข้สูงกว่า อาการทำสำคัญได้แก่
1.             ระยะฟักตัวประมาณ1-4 วันเฉลี่ย วัน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้
  • ปวดศรีษะอย่างรุนแรง
  • ปวดแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบกระบอกตา
  • ไข้สูง 39-40 องศาในเด็ก ผู้ใหญ่ไข้ประมาณ 38 องศา
  • เจ็บคอคอแดง มีน้ำมูกไหล
  • ไอแห้งๆ ตาแดง
  • ในเด็กอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
  • อาการไข้ คลื่นไส้อาเจียนจะหายใน วัน แต่อาการน้ำมูกไหลคัดจมูกอาจจะอยู่ได้ สัปดาห์
2.             สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงมักจะเกิดในผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว
  • อาจจะพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ่มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
  • อาจจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ซึมลง หมดสติ
  • ระบบหายใจอาจจะมีอาการของโรคปอดบวม จะหอบหายใจเหนื่อยจนถึงหายใจวาย
  • โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่จะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางรายซึ่งอาจจะมีอาการปวดข้อและไอได้ถึง สัปดาห์
ระยะติดต่อ
ระยะติดต่อหมายถึงระยะเวลาที่เชื้อสามารถติดต่อไปยังผู้อื่น
  • ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ วันก่อนเกิดอาการ
  • ห้าวันหลังจากมีอาการ
  • ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน
              เป็นโรคของกลุ่มอาการที่มีน้ำตาลกลูโคส  รวมทั้งไขมันและกรดอะมิโนในเลือดสูง  ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน  คือ  มีญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน  อ้วน (มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่  27  กิโลกรัม/ตารางเมตรขึ้นไป)  ความดันโลหิตสูงกว่า  140/90  มิลลิเมตรปรอท  ระดับไขมันในเลือดผิดปกติและเคยมีระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ
   อาการ 
               ในตอนกลางคืนจะปัสสาวะบ่อยครั้ง  และมีปริมาณมากกว่าปกติ  กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อยครั้งและจำนวนมาก  หิวบ่อย  กินจุแต่น้ำหนักลด  อ่อนเพลีย  เป็นแผลหรือฝีง่ายและหายยาก  คันตามตัว  ผิวหนังและบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์  ตาพร่ามัว  มือชา  เท้าชา  หมดสมรรถภาพทางเพศ  ในบางคนอาการดังกล่าวอาจไม่ปรากฏแต่จะทราบเมื่อเกิดโรคแทรกซ้อน  ผู้สูงอายุจึงควรตรวจร่างกายเพื่อตรวจวินิจฉัยหาน้ำตาลในเลือด  หรือถ้าหากตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะและได้ค่า  1+ ขึ้นไป  ควรตรวจเลือดอีกครั้งหนึ่ง
                 เมื่อเป็นโรคเบาหวานประเภทเฉียบพลัน  จะทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่ายในแทบทุกอวัยวะ เกิดภาวะหมดสติจากการที่น้ำตาลในเลือดสูงมากหรือต่ำมาก  สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภทเรื้อรัง จะนำไปสู่การเป็นโรคความดันเลือดสูง  หลอดเลือดหัวใจอุดตัน  หลอดเลือดสมองตีบตัน  และหากเป็นโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จะนำไปสู่การมีโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ  โรคของจอตา  ไทรอยด์  โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน  หลอดเลือดสมองตีบตัน  ประสาทอักเสบ  เส้นเลือดที่เท้าอุดตัน  หมดสมรรถภาพทางเพศ
                 การปฏิบัติตัวของผู้เป็นโรคเบาหวานโดยโภชนาการด้วยการกินอาหารวันละ 
มื้อ  ในปริมาณที่ใกล้เคียงกันและตรงเวลา พบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ  ออกกำลังกายที่เหมาะสม ลดความวิตกกังวล ความเครียด รวมทั้งรักษาความสะอาดของร่างกาย 
 อาหารสำหรับโรคเบาหวาน
                  หลักในการกินอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน  คือ  กินอาหารให้หลากหลาย  เน้นการกินข้าวกล้อง  พืชผักนานาชนิด  ผลไม้  ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น  วุ้นเส้น  เต้าหู้ขาว
                 อาหารที่ควรกิน ได้แก่  น้ำซุบใส  เนื้อปลา  กุ้ง  หอย  และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน  ข้าวที่ไม่ขัดสีมาก  ข้าวกล้อง  (ควรกินปริมาณจำกัด)  ผักทุกชนิด  เช่น  ผักกาดขาว  ผักกาดหอม  ผักกวางตุ้ง  ถั่วงอก  ผักคะน้า ฯลฯ  ผลไม้ต่าง ๆ  เช่น  ชมพู่  ส้มเขียวหวาน  มะละกอสุก  เงาะ  ฯลฯ  และไขมันจากพืช 
                 อาหารที่ไม่ควรกิน  ได้แก่  แครอท  เผือก  มัน  ขนมหวาน  เนย  เนื้อสัตว์  เครื่องในสัตว์  อาหารที่ปรุงด้วยไขมันจากสัตว์  หรือกะทิ  งดเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัดและแอลกอฮอล์  เครื่องดื่มอาหารกระป๋องที่มีน้ำตาลแฝงอยู่  เช่น  น้ำมะเขือเทศ  หรือซอสมะเขือเทศ  น้ำผักผลไม้กระป๋องหรือขวด เช่น  ลิ้นจี่กระป๋อง  ที่แช่ในน้ำผึ้ง  น้ำเชื่อม  เป็นต้น

โรคความดันโลหิตสูง


โรคความดันโลหิตสูง
                  ในขณะที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่  หัวใจจะมีการบีบรัดตัวเป็นจังหวะ  เพื่อให้เลือดที่อยู่ในหัวใจและหลอดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย  ซึ่งแรงบีบตัวจะทำให้เกิดความดันโลหิตหรือแรงดันเลือด  ค่าความดันโลหิตจะบอกถึงระดับความรุนแรงของโรค  ถ้าค่าความดันโลหิตน้อยกว่า  140/90  มิลลิเมตรปรอท  ถือว่าระดับความดันโลหิตปกติ  ระดับ  140/90 – 160/95 มิลลิเมตรปรอท   ถือว่าระดับความดันโลหิตปานกลาง  และถ้ามากกว่า  160/95  มิลลิเมตรปรอท  ถือว่ามีระดับความดันโลหิตสูงเนื่องจาก  ความดันโลหิตจะแปรผันไม่คงที่  ขณะที่วัดความดันโลหิตจึงควรอยู่ในภาวะที่สงบมากที่สุด ในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง  ต้องตรวจวัดอย่างน้อย  3  ครั้ง  ในระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย  5 นาที ความดันโลหิตสูงจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ  ซึ่งมักจะพบในวัยสูงอายุ  เพศ  กรรมพันธุ์  น้ำหนักตัว  การรับประทานอาหารที่มีเกลือโซเดียมสูงและภาวะของอารมณ์ต่าง ๆ 
  อาการ  
ระยะเริ่มแรกจะไม่ปรากฏอาการทางร่างกาย  เมื่อเข้าสู่ระยะปานกลางจะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ อาจมีอาการผิดปกติ  เช่น  หัวใจเต้นแรง  ตื่นเต้น  นอนไม่หลับ  ปวดศีรษะ  ซึ่งถ้าผู้สูงอายุมีอาการผิดปกติควรรีบไปตรวจสุขภาพทันที  เพื่อจะได้รับการรักษาก่อนที่จะลุกลามและหากมีอาการปวดศีรษะบริเวณท้ายทอยในตอนเช้า คลื่นไส้อาเจียน  เวียนศีรษะ  ตามัว  อ่อนเพลียและใจสั่น  แสดงว่ามีอาการระยะรุนแรง  โรคความดันโลหิตสูงเป็นประเภทอันตรายเงียบ  หากปล่อยเป็นเวลานาน ๆ จะมีผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย  ได้แก่  หลอดเลือดแดงโป่งพอง  อุดตัน  หัวใจทำงานหนัก  ไตเสื่อม  สายตาเสียหรือตาบอดได้
                 การป้องกันโดยการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา  งดอาหารรสเค็มจัด  ออกกำลังกายสม่ำเสมอและพอประมาณ  นอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอ  ทำจิตใจให้สบายและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 6 – 12  เดือน  หรือเมื่อมีอาการดังกล่าวข้างต้น  หากมีอาการปวดศีรษะ  หน้ามืด เหนื่อยง่าย  ต้องรีบไปพบแพทย์  และหากเป็นโรคความดันโลหิตสูงต้องปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
                  อาหารสำหรับโรคความดันโลหิตสูง 
หลักในการกินอาหารของคนเป็นโรคนี้ก็คือ  กินไม่ให้อ้วนและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม (อาหารจำกัดโซเดียม)
                  อาหารที่ควรกิน  ได้แก่  นมพร่องมันเนย  ข้าว  ธัญพืชที่ไม่ใส่เกลือ  ผักสดทุกชนิด  เช่น  กะหล่ำปลี  ผักกาดขาว  ผักกาดหอม  ผลไม้สดทุกชนิด  เช่น  กล้วยน้ำว้า  มะละกอ  ส้ม  ไขมันจากพืช  น้ำมันรำข้าว  น้ำมันถั่วเหลือง  น้ำมันเมล็ดทานตะวัน  น้ำมันงา  น้ำมันดอกคำฝอย  อาหารหวานหรือของหวานที่ไม่มีเกลือหรือผงฟู  เครื่องดื่มและเครื่องปรุงรสที่ไม่มีโซเดียม  ไข่ที่ไม่ปรุงรสเค็ม
                 อาหารที่ไม่ควรกิน  ได้แก่  อาหารที่มีโซเดียมสูง คือ อาหารที่มีรสเค็ม หรือผสมเครื่องปรุงที่มีโซเดียม  เช่น  ผงชูรส  ผงฟู  สารกันบูด  เกลือ  น้ำปลา  ธัญพืชหรือผลไม้ตากแห้งที่ใส่โซเดียม  นมเปรี้ยว  และอาหารที่ผ่านการถนอมอาหาร  เช่น  กุนเชียง  ไส้กรอก  เบคอน  หมูแฮม  ไข่เค็ม  อาหารกึ่งสำเร็จรูป  เช่น  บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

โรคอ้วน


 โรคอ้วน
 ความอ้วน  หมายถึง สภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยการสะสมของไขมันจนมีปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกาย
สาเหตุ
1. เกิดจากสาเหตุภายนอก เป็นสาเหตุใหญ่ที่เกิดโรคอ้วน เพราะตามใจปากมากเกินไป กินมากเกินความต้องการของร่างกาย อาหารที่กิน เนื้อ ไขมัน หรือแป้ง ของหวาน สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ามีมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมันพอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ออกกำลังกายน้อย กินแล้วนอนนิสัยในการรับประทาน คนที่มีนิสัยการรับประทานที่ไม่ดี เรียกว่า กินจุบกินจิบไม่เป็นเวลา  ขาดการออกกำลังกาย ถ้ารับประทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ แต่ได้ออกกำลังกายบ้างก็อาจทำให้อ้วนช้าลง แต่หลายคนไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ไม่ช้าจะเกิดการสะสมเป็นไขมันในร่างกาย
2. มาจากสาเหตุภายใน พบได้จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อไทรอยด์ ทำให้มีไขมันตามบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง     
•   จิตใจและอารมณ์ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่การกินอาหารขึ้นอยู่กับจิตใจและอารมณ์ เช่น กินดับความโกรธ ดับความคับแค้นใจ กลุ้มใจ กังวลใจ หรือดีใจ บุคคลเหล่านี้ จะรู้สึกว่าอาหารที่ทำให้จิตใจสงบ จึงหันมายึดเอาอาหารไว้เป็นที่พึ่งทางใจ ตรงกันขามกับบางคนกลุ้มใจเสียใจก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
•   ความ ไม่สมดุลระหว่างความรู้สึกอิ่มกับความหิว เมื่อใดที่ความอยากเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นการกินก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถึงขั้นเรียกว่า กินจุ ในที่สุดก็อ้วนเอาๆ
3.  เพราะกรรมพันธุ์ ซึ่งพบได้น้อย กรรมพันธุ์นี้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งสองคน ลูกจะมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 80 ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งอ้วน ลูกมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 40
4. โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง
5. จากการกินยาบางชนิด ก็ส่งผลกระทบให้อ้วน ผู้ป่วยบางโรคได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ก็ทำให้อ้วนได้ และในผู้หญิงที่ฉีดยาหรือกินยาคุมกำเนิดก็ทำให้อ้วนง่ายเช่นกัน
6. เพศ  เพศหญิงนั้นมักอ้วนกว่าเพศชาย ก็ธรรมชาติเธอมักสรรหาจะกิน กิน และกิน ตลอดเวลา อีกทั้งตอนตั้งครรภ์ ก็ต้องกินมากขึ้น เพื่อบำรุงร่างกายและลูกน้อยในครรภ์ แต่หลังจากคลอดลูกแล้ว บางรายก็ลดน้ำหนักลงมาได้ แต่บางรายก็ลดไม่ได้ ผู้หญิงทำงานน้อย ออกกำลังน้อยกว่าชาย ผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชาย4 : 1
การลดความอ้วนที่ถูกวิธี
            การลดความอ้วนก็คล้ายกับการปฏิบัติในการรักษาโรคอื่นๆ เพราะในการลดความอ้วนนั้นต้องอาศัยหลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง รวมทั้งกำลังใจและเวลา การปฏิบัติทั่วๆไปในการลดน้ำหนัก คือ การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย

โรคมะเร็ง



โรคมะเร็ง
เป็นเนื้องอกชนิดร้ายที่เนื้อมะเร็งมีการแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อปรกติที่ อยู่โดยรอบ เป็นเซลล์ร่างกายที่มีการแบ่งตัวไม่เป็นไปตามแบบแผนอยู่นอกเหนืออำนาจการควบ คุม สามารถแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นของร่างกายที่ห่างไกลออกไป และไม่ติดต่อกับก้อนมะเร็งเดิม มะเร็งสามารถเกิดจากเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย ยกเว้น ขนผม เล็บที่งอกออกมาแล้วเท่านั้น
สาเหตุ
 เกิดจากการได้รับสารก่อมะเร็ง ซึ่งมาจากการได้รับควันบุหรี่ การเป็นแผลเรื้อรัง และยังคาดว่าเกิดจากยีนที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
อาการ
 มะเร็งเป็นเนื้องอกที่เจริญอย่างรวดเร็วผิดปกติ อาการเริ่มแรกเป็นก้อนเนื้อ หรือเป็นแผลเรื้อรัง ต่อไปจึงกลายเป็นเนื้อร้าย
การรักษา
 ควรเริ่มตั้งแต่เริ่มมีอาการผิดปกติจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันมีทั้งการรักษาทางยา รักษาด้วยการผ่าตัดและรักษาด้วยรังสี

โรคร้อนใน



ร้อนใน
 เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และเกิดได้บ่อยไม่แพ้โรคหวัดเลยทีเดียว อาการ จะเกิดขึ้นในช่องปาก แรกสุดจะมีตุ่มแดงขึ้นมา จากนั้นก็จะกลายเป็นเม็ดสีขาว โดยมีขอบเป็นสีแดงนูนออกมา ทำให้เจ็บบริเวณแผล                              สาเหตุของการร้อนในเกิดจากความเครียด ร่างกายอ่อนเพลีย การนอนดึก การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การมีประจำเดือน การแพ้อาหารหรืออาจเกิดจากการขาดวิตามิน B 12 ธาตุเหล็ก หรือกรดโฟลิก
วิธีป้องกันอาการร้อนใน
1.ควรเลี่ยงการออกไปตากแดดจัดๆ เพราะจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
2. ควรทานวิตามินซีเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง
3.ไม่ควรทานอาหารประเภท มันๆ ทอดๆ เพราะจะเพิ่มความร้อนให้ร่างกาย
4. เลือกกินอาหารที่มีลักษณะเย็น เช่น ทานฟัก แตงโม ส้ม
อาการ
ร้อนใน จะเกิดเป็นจุดแดงหรือตุ่มและต่อมาจะพัฒนาแยกออกมาเป็นแผลเปิด มีลักษณะเป็นสีขาว รูปวงรี โดยมีขอบเป็นสีแดงนูนออกมา มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มม. ซึ่งในบางครั้งอาจจะกว้างถึง 1 ซม. จะมีอาการเจ็บปวดบริเวณแผลระยะเวลาของอาการอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 1 ถึง 2 สัปดาห์

สาเหตุ
สาเหตุของร้อนในไม่ทราบเป็นที่ชัดเจน แต่ปัจจัยที่มักจะก่อให้เกิด ความเครียด เหนื่อยล้า การนอนดึก การกัดโดน การเปลี่ยนแปลงของ
ฮอร์โมน การมีประจำเดือน การแพ้อาหาร หรืออาจเกิดจากการขาด วิตามิน B12 ธาตุเหล็ก หรือกรดโฟลิค อาจลด และป้องกัน การเกิดแผลร้อนใน ได้ด้วยการไม่รับประทานน้ำในปริมาณมากๆ หลังหรือพร้อมอาหารในทันที ควร รับประทานน้ำมากๆ ระหว่างมื้อแทน เพราะช่วยให้ กรดในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น และลดโอกาสที่ กรดจะเอ่อล้นขึ้นมาในท่อหลอดอาหาร ซึ่งจะทำให้ระคายเคืองเยื่อบุหลอดอาหารและช่องปาก จนทำให้เกิดแผลร้อนในได้ง่าย
การรักษาแผลร้อนใน
ในปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใดที่รักษาแผลร้อนในให้หายขาด โดยไม่ปรากฏอาการเกิดขึ้นมาอีก ดังนั้นการรักษาที่นิยมในปัจจุบันคือ รักษาไปตามอาการโดยให้สเตียรอยด์ชนิดทาเฉพาะที่ เพื่อลดอาการเจ็บและอาการอักเสบ ดังนี้
1.ไทรแอมซิโนโลนอะเซทโทไนด์ ชนิดขี้ผึ้ง 0.1% ทาวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร
2. ฟลูโอซิโนโลนอะเซทโทไนด์ 0.1% สารละลายหรือชนิดขี้ผึ้ง ทาวันละ 3 ครั้ง หลังอาหารหรือ อาจใช้ คลอร์เฮ็กซิดีนกลูโคเนต 0.2 – 1% ใช้อมบ้วนปาก 10 มิลลิลิตร อม 1 นาที วันละ 2 ครั้ง (เช้า – เย็น) หรือหลังอาหาร
สี่งที่ควรทําเมื่อเกิดแผลร้อนใน
หลีกเลื่ยงอาหารเค็มจัดและอาหารที่มีกรดหรือรสเปรื้ยว  เช่น  ผักดอง  รวมไปถึงขนมหวานที่เคื้ยวจนเหนืยว  รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์อาจทําให้อาการแผลในปากที่เป็นอยู่มีอาการรุนแรงขึ้น  นอกจากนั้นควรบ้วนปากด้วยนําเกลือวันละ  2 ถึง 3 ครั้ง และถ้าแผลไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ควรไปพบแพทย์

โรคกระเพาะอาหาร


โรคกระเพาะอาหาร
              โรคกระเพาะอาหาร
 หมายถึง โรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อกระเพาะอาหาร คนที่เป็นโรคนี้แล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่วนมากมักจะเป็นเรื้อรัง หรือเป็นนานๆ ถ้าไม่รักษาหรือปฏิบัติตัวให้ถูกต้องจะมีอาการเป็นๆ หายๆ และถ้าปล่อยให้เป็นมาก จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สาเหต  สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะมีมากมาย แต่เชื่อกันว่าสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก และเยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง
1. สาเหตุที่กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น
2. มีการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร
อาการ
1. ปวดท้อง
2. จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในท้อง ร้อนในท้อง คลื่นไส้อาเจียน
3. อาการโรคแทรกซ้อน
การรักษา
1. กำจัดต้นเหตุของการเกิดโรค ได้แก่ กินอาหารให้เป็นเวลา งดอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด งดดื่มเหล้า เบียร์ หรือยาดอง งดดื่มน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ งดเว้นการกินยา ที่มีผลต่อกระเพาะอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายคลายตึงเครียด
2. การให้ยารักษา โดยกินยาอย่างถูกต้อง คือต้องกินยาให้สม่ำเสมอ กินยาให้ครบตามจำนวน และระยะเวลา ที่แพทย์สั่งยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ดังนั้นภายหลังกินยา ถ้าอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา ต้องกินยาต่อจนครบ และแพทย์แน่ใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะ ลดยาหรือหยุดยาวได้
3. การผ่าตัด ซึ่งในปัจจุบัน มียาที่รักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างดีจำนวนมากถ้าให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดอาจทำให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อน

โรคภูมิแพ้

 โรคภูมิแพ้ เป็นโรคหนึ่งที่พบบ่อย ในที่นี้หมายถึงภูมิแพ้จากฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศเรามองไม่เห็น ทำให้เกิดอาการแพ้ คันจมูก น้ำมูกไหล เป็นไม่มากแต่เรื้อรังก่อความรำคาญให้ไม่สะดวกในการทำงาน สาเหตุป่วยเป็น โรคภูมิแพ้ ก็รู้ๆ อยู่แต่ไม่สามารถแก้ไขให้หายขาดได้ เพราะฝุ่นมีอยู่ทั่วไป ทำให้เป็นโรคเรื้อรังประจำตัวกันมาก
          โรคภูมิแพ้ เรื่องแพ้ฝุ่นละอองบางคนโชคดีไม่แพ้ ผู้ที่แพ้จะมีอาการมากน้อยต่างกัน ตั้งแต่คันจมูก คันตา น้ำมูกใส จามบ่อย แน่นจมูก เจ็บคอ ไปจนถึงอาการมากแน่นหอบหายใจไม่ค่อยออกแบบหอบหืด จะเห็นมาโรงพยาบาลกันบ่อยตอนเช้ามืด มาสูดดมออกซิเจน กันสักพัก พอค่อยดีขึ้นจึงค่อยกลับไป
          สารทำให้เป็น โรคภูมิแพ้ ที่พบบ่อยมี ฝุ่น นุ่น ละอองเกสรพืช ไรฝุ่น ขนสัตว์จากสุนัขและแมวไปจนถึงเชื้อราในอากาศ รวมทั้งอุณหภูมิของอากาศเป็นตัวช่วย บางครั้งอากาศหนาวเย็นจะมีอาการแพ้ง่ายขึ้น ภาวะมลพิษ บางคนอยู่ในบ้านหรือในตัวเมืองแพ้ พอออกไปอยู่ริมทะเลได้สัมผัสอากาศที่เย็นสบาย หรืออยู่บนที่สูงภาวะมลพิษน้อย อาการอาจทุเลาลงหรือหายไป รู้สึก สดชื่นสบายขึ้น หรือบางท่านว่าอาจเกิดจากพันธุกรรมได้ถึง 75%
 โรคภูมิแพ้ ระบบทางเดินหายใจได้แก่ หืด จมูกอักเสบ คาดว่ามีถึง 18 ล้านคน แพ้จากไรฝุ่นราว 30% ในฝุ่น จะมีตัวไรฝุ่นแฝงอยู่ เรามองไม่เห็น ชอบอากาศชื้น ในบ้านเรือนจะเกาะอยู่ทั่วไปและ บนโต๊ะทำงาน บนหนังสือที่วางอยู่ข้างหน้าเรา 
          นอกจากนี้ยังอยู่ทั่วไปในบ้าน ห้องนอน ได้แก่ ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม พรมปูพื้น ผ้าม่าน ตุ๊กตา และเครื่องเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งวัตถุสะสมต่าง ๆ ชอบอุณหภูมิราว 25 องศา ความชื้น 70-80 หน่วย ออกไข่มาก ขยายพันธุ์รวดเร็ว ทั้งตัวและมูลมีโปรตีนก่อภูมิแพ้สูง เรียงลำดับแพ้จากมากไปน้อย คือมูล ตัวแก่ ตัวอ่อน และไข่
          การหลีกเลี่ยงไรฝุ่น จะทำให้อาการแพ้ลดลง โดยปกติถ้ามีไรฝุ่นมากกว่า 2 ไมโครกรัมต่อฝุ่น 1 กรัม จะทำให้เกิดการแพ้ ถ้ามากถึง 10 ไมโครกรัม จะทำให้จับหอบหืดเฉียบพลันได้ การป้องกัน ทั้งๆ ที่รู้แต่การป้องกันยาก จะไปทางไหนก็มีแต่ฝุ่นทั้งนั้น ดีที่สุด ก็คือ การทำความสะอาด เอาวัตถุที่ไม่จำเป็นออกจากห้องทำงานและห้องนอนให้มากที่สุด ปัดกวาด เอาผ้าคลุมไว้ ซักผ้าคลุม ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน มุ้ง บ่อยหน่อย หรือไม่ก็เอาไปตากแดด คงพอช่วยผ่อนคลายได้
          นอกจากนี้ ดอกไม้ วัชพืช ล้วนมีละออง ขนของสัตว์เลี้ยง ได้แก่ สุนัข แมว ก็เช่นกัน อาจทำให้แพ้ได้

ป้ายกำกับ

กระสุนเดนตาย (1) กราบ (1) กษัตริย์ (1) กำลังภายใน (1) กุหลาบ (1) แก้มป่อง (1) แกร่งสุดมหาบุรุษรูสเวลท์ (1) ขอให้เรา (1) ขาวสวย (35) ขาวสะพรั่ง (1) คนแกร่ง (1) คนงาม (31) คนพันธุ์เหล็ก (1) คนเล็กอิทธิฤทธิ์หญ่าย (1) คนอึด (1) คนอึดตายยาก (1) คอบร้าทมิฬ (1) คู่กรรม (1) คู่ซี้ดีแต่ฝัน (1) เคนชิน (1) แคทรียา (1) แค้นได้ (1) โคตรคน (1) ฆ่าข้ามโลก (1) ฆ่าไม่เลี้ยง (1) งามตา (1) งามฝุดฝุด (10) จริงจังเท่าใด (1) จังโก้ (1) จันดารา (1) จากพระเจ้า (1) จางคยูซอง (1) จำปาขาว (2) จีไอโจ 2 (1) จุกเสียดจากกรดไหลย้อน (1) เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (1) ใจสู้หรือเปล่า (1) ฉันตาย (1) ชีวิตของแม่ (1) โชคดี (1) โชคดีมีผัว (1) ซอมบี้ที่รัก (1) ซามูไร (1) ไซอิ๋ว (1) ดวงตา (1) ดื่มสุรา (1) เด็กไฮ (1) แด่เธอที่รัก (1) แดนเถื่อน (1) แด่รัก (1) ต้องกลับมาอึด (1) ต้องยึดร่าง (1) ตอน (1) ตางาม (3) ตายไม่เป็น (1) ตาหวาน (7) ติวรัก (1) แตกหยาบ (1) ท้องผูก (1) ทองสุข (1) ท้าหัวใจ (1) โทรศัพท์ (1) ไทยแลนด์ (1) ธรรมะเพื่อประชาชน (1) นวลขาว (4) นักล่าแม่มดพันธ์ดิบ (1) นักศึกษา (4) นางสวรรค์ (2) น่ารัก (20) นิยามรักปฎิวัติ (1) เนียนนวล (2) บ่มีเจ็บ (1) บ่มีรัก (1) บุรุษลวงหัวใจ (1) เบอร์ลิน (1) ปฏิทิน (1) ปล้นมหากาฬ (1) ปวดข้อ (1) ปวดประจำเดือน (1) ปวดหัวไมเกรน (1) ปัจจัยเสี่ยง (1) ปัจฉิมบท (1) ปัญญา (1) ปาฎิหาริย์ (1) ปาร์ตี้ชะนี (1) ปาร์ตี้รั่วเวอร์ (1) เปิดตัว (1) ผด (1) ผมยาว (3) ผิวพรรณ (1) ผิวแห้ง (1) ผีหวงลูก (1) ผื่น (1) ผู้ยิ่งใหญ่ (1) แผ่นดินวิปโยค (1) พยัคฆ์ร้ายกิโยติน (1) พระโขนง (1) พลิกชะตา (1) พ่อมด (1) พ่อสั่งมาฟัด (1) พิฆาตอธรรม (1) พี่มาก (1) แพร่พันธุ์สยอง (1) ฟิลม์แซด (1) มหัศจรรย์ (2) มหาวินาศ (1) มะเร็งเต้านม (1) มิเซราบล์ (1) มิสเตอร์แสบ (1) เมนูของพ่อ (1) แม่ (1) แม่สาว (1) ไม่สิ้นหวัง (1) ยอดปรมาจารย์ (1) ยิปมัน (1) ยิ้มงาม (4) ยุทธการถล่ม (1) รสหอมหวล (1) รหัสลับ (1) ระห่ำ (1) ระห่ำแค้น (1) ระอุเดือด (1) รักแท้หยุดไว้ที่เธอ (1) รักเราปาฏิหาริย์ (1) รักษาใจ (1) รับคำท้า (1) ร้ายเกินพิกัด (1) รูปร่าง (1) รูปูรูปี (1) เรณู (1) โรคผิวหนัง (1) ฤดูร้อนนั้น (1) ลาวปากเซ (2) ลูกกตัญญู (1) วันพีซ (1) วัยสาว (8) วิชาหัวใจ (1) วิธีดื่มน้ำ (1) วีรบุรุษหมัดเหล็ก (1) สงคราม (1) สวยใส (3) สวรรค์แห่งนี้ (1) สะเก็ดเงิน (1) สักวัน (1) สังเวียนเดือด (1) สัญญารัก (1) สารวัตร (1) สาวคนเก่ง (6) สาวงาม (56) สาวจำปา (1) สาวชาวสวน (2) สาวชุดเขียว (1) สาวน้อย (1) สาวลาว (115) สาววัยรุ่น (4) สาวสวย (50) สาวหวาน (32) สาวเอวบา (2) สิงหาต้องสับ (1) สุขภาพดี (2) สูบบุหรี่ (1) สู้เพื่อดวงใจอันยิ่งใหญ่ (1) หน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์ (1) หน้ากาก (1) หมอสาว (1) หมาบ้า (1) หมายเลข 7 (1) หมีขั้วโลก (1) หล่อลากไส้ (1) หวานตา (10) ห้องขัง (1) หัวใจ (1) หัวใจแข็งแรง (1) อยากฟังคำว่ารัก (1) ออกกำลังกาย (2) อ่อนหวาน (3) อ้อยหวาน (1) อัตราการเสี่ยง (1) อาร์คติก (1) ไอโฟน 5C (1) ไอโฟน 6 (1) Apple (1) Apple A8 (1) Arctic (1) Berlin (1) Beyond (1) Bodies (1) Boy (1) Chi (1) Choice (1) Conquering (1) Dangerous (1) Dead (1) Demons (1) Despicable (1) Django (1) Down (1) File (1) Film Z (1) Forgives (1) Galaxy (1) Galaxy Grand (1) Galaxy S4 (1) Galaxy S4Zoom (1) Gatsby (1) God (1) Great (1) Honami (1) iPhone 5C (1) iPhone 5S (1) iPhone 6 (1) iPhone 6 Plus (2) Journey (1) Kenshin (1) Land (1) Last (1) Lincoln (1) Lone (1) Mama (1) Man (2) Miracle (1) No.7 (1) One (1) One Day (1) Only (1) Piece (1) Place (1) Polisse (1) Promised (1) Ranger (1) Red 2 (1) review (1) Rurouni (1) S4 Mini (1) Samsung (2) Sony Xperia Z1 (1) Summer (1) Superzoom (1) Tai (1) Thailand (1) The Expatriate (1) The Host (1) Turbo (1) Unchained (1) Werewolf (1)