ADHD หรือ โรคสมาธิสั้น
เรียบเรียงโดย DMH Staffs กรมสุขภาพจิต
เราเคยเข้าใจคำว่า ADHD ไม่เป็นในวัยรุ่นที่อายุมากกว่า 15 ปี แต่ความคิดนี้เป็นจริงเพียงบางส่วน มีการวิจัยว่า ADHD เป็นในวัยรุ่นและพบได้บ่อยในวัยรุ่น ในปี ค.ศ. 1996 มีการศึกษา meta-analysis ที่ว่าทุกๆ 5 ปี คนไข้ครึ่งหนึ่งจะหายจากโรค แต่การศึกษาถูกตำหนิว่ามีปัญหาในการทำ การวิจัยอื่นพบว่า restoration rate มีเท่ากับ 40-90% โดยพบว่าอัตราในคลินิกมีมากกว่าในชุมชน โดยทั่วไปเมื่อโตขึ้นอาการหุนหันพลันแล่น และความซนจะลดลง ทำให้เข้าใจผิดว่าหาย แต่ถ้าดูกันดีๆ จะพบว่าเขาจะยังมีความผิดปกติอยู่เมื่อเทียบกับเพื่อนอายุรุ่นเดียวกัน
มีการศึกษา meta-analysis จาประเทศแคนาดาที่ศึกษาระดับของการทำงานพบว่า 1/3 จะปกติ ½ จะยังมีความผิดปกติมีอาการของ ADHD และส่วนน้อยที่จะต้องอยู่ในตึกผู้ป่วยจิตเวชแบบระยะยาว การศึกษาของ Lambert ก็บอกเช่นกันว่า 20% หาย 37% มีความผิดปกติด้านการเรียนและพฤติกรรมเหลืออยู่ และ 43% อาการคงเดิม สิ่งนี้บอกอะไรเรา มันบอกว่าเด็กบางคนหายจาก ADHD ได้ อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสมองส่วนหน้า หรืออาจะเกิดจากโรคมีความรุนแรงต่างกันในแต่ละคน ทำให้เกิดปัญหาว่าจะสามารถหยุดยาได้ในคนไข้รายใด อย่างไรก็ตาม คนไข้ส่วนใหญ่ไม่หาย โยจะอยู่ในสองกลุ่มคือ
ADHD ที่ดีขึ้น ปัญหาลดลง
ADHD ที่ยังคงอยู่ และปัญหาก็ยังคงอยู่แต่ต้องเตือนไว้เสมอว่าคนไข้ ADHD มักเกิดร่วมกับ ปัญหาการเจ็บป่วยอย่างอื่น
ปัญหาที่เสี่ยงในวัยรุ่น ได้แก่ การเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล การเรียนไม่ดี และทำงานที่ต่ำต้อยในสังคม
การวินิจฉัย ADHD ทำง่ายในเด็กอายุ 7-9 ปี แต่ถ้าเด็กหรือโตกว่านั้นจะดูยาก อาจต้องติดตามอาการนาน
หลายคนอ่านแล้วอาจจะงงๆ มาทำความรู้จักหรือรื้อฟื้นความจำเกี่ยวกับโรคนี้กันสักนิดค่ะ
โรคสมาธิสั้นหรือที่รู้จักกันในชื่อโรคเด็กซน
-จะเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ ในเด็กอีกหลายโรค ได้แก่ โรคดื้อ (Oppositional) โรคเกเร (Conduct) โรคบกพร่องทางการเรียน (Learning) โรควิตกกังวล (Anxiety) โรคซึมเศร้า (Depression) ถ้าหากโรคสมาธิสั้นได้รับการวินิจฉัยช้าจนเด็กโต จะทำให้มีความเสี่ยงไปกระตุ้นต่อโรคอื่นให้รุนแรงมากขึ้นด้วย
อาการของสมาธิสั้น ประกอบด้วย อาการซน ไม่อยู่นิ่ง (Hyperactivity) และหุนหันพลันแล่น (Impulsive) อาการจะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เด็กอยู่ในวัยก่อนเข้าเรียน ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะเห็นเด่นชัดมากขึ้นเมื่อเริ่มเข้าเรียน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาเป็นอย่างมาก เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและผู้ใหญ่จะเกิดปัญหาเพิ่มมากขึ้นอีก ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องโดยแพทย์ที่เข้าใจโรค
ระบาดวิทยา
ในเด็กผู้ชายจะพบโรคซน-สมาธิสั้นมากกว่าเด็กผู้หญิง 4-6 เท่า นับว่าเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตของเด็กที่พบบ่อยที่สุดและเป็นปัญหาเกี่ยวกับการเรียนด้วย
สาเหตุ
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของโรค ADHD แต่พอจะทราบ 3 ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค คือ
1. ปัจจัยทางพันธุกรรม
จากการวิจัยพบว่า พี่น้องท้องเดียวกัน ถ้าหากคนหนึ่งเป็นโรค ADHD พี่น้องคนอื่นจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้สูงถึง 5 เท่า ในลูกฝาแฝดชนิดไข่ใบเดียวกัน โอกาสที่จะเป็นโรคนี้สูงถึงร้อยละ 51 ในไข่แฝด 2 ใบ (คนละใบ) อีกคนหนึ่งจะมีโอกาสป่วยถึงร้อยละ 33 เชื่อว่ามีความผิดปกติที่ยีนชื่อ DRD4
2. ปัจจัยทางชีวภาพ
มีโรคหลายโรคของผู้ป่วยที่เกิดทางร่างกายและทางสมอง แล้วเป็นสาเหตุของโรคเด็กซน-สมาธิสั้น เช่น โรคลมชัก (ลมบ้าหมู) โรคขาดอาหาร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรตีน) เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย ต้องอยู่ในตู้อบ โรคสมองอักเสบในเด็ก โรคพยาธิสมองในเด็ก จากการศึกษาพบว่ามีความผิดปกติในการทำงานของสมอง โดยสมองจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ และมีสารซึ่งช่วยส่งสัญญาณของระบบประสาทต่ำกว่าปกติ
3. ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ได้แก่ ปัญหาการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมภายในบ้านไม่เหมาะสม ปัญหาทางด้านจิตใจของพ่อแม่ หรือผู้ดูแลเด็ก ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ADHD โดยตรง แต่จะเป็นตัวกระตุ้นเด็กที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคซน-สมาธิสั้นอยู่แล้ว ทำให้เกิดอาการปรากฏชัดขึ้น และมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย
การวินิจฉัยอาการและอาการแสดง
1. อาการขาดสมาธิ เด็กจะมีลักษณะวอกแวกง่าย ขาดความตั้งใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ต้องใช้สมาธิ เด็กจะแสดงอาการเหม่อลอยบ่อยๆ ฝันกลางวัน ทำงานไม่เสร็จ ผลงานมักจะออกมาไม่เรียบร้อยตกๆ หล่นๆ เด็กจะมีลักษณะเป็นคนขี้ลืม ทำของใช้หายเป็นประจำมีลักษณะเหมือนไม่ฟังเวลามีคนอื่นพูดด้วย เวลาสั่งให้เด็กทำงานอะไรเด็กมักจะทำหรือทำครึ่งๆ กลางๆ เด็กเหล่านี้จะมีอาการติดตัวไปจนถึงเป็นผู้ใหญ่
2. อาการซน เด็กมีลักษณะอาการซนยุกยิก อยู่ไม่สุข นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยได้ ต้องลุกเดิน หรือขยับตัวไปมา ชอบปีนป่าย เล่นเสียงดัง เล่นผาดโผน หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย ประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ จากความซน และความไม่ระมัดระวัง พูดมาก พูดไม่หยุด อาการนี้เห็นได้ชัดในเด็กเล็กๆ เมื่อโตขึ้นอาการซนจะลดลงตามวัย จนเหลือแต่อาการกระสับกระส่ายกระวนกระวายใจ เวลาต้องอยู่นิ่งๆ ในวัยผู้ใหญ่หรือวัยรุ่น
3. อาการหุนหันพลันแล่น เด็กจะมีอาการวู่วาม ใจร้อน ทำอะไรลงไปโดยไม่คิดล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขาดความระมัดระวัง เช่น วิ่งข้ามถนนโดยไม่มองซ้ายมองขวา เวลาต้องการอะไรจะต้องได้ทันที รอคอยไม่ได้ เวลาอยู่ในห้องเรียนมักพูดโพล่งออกมา โดยไม่ขออนุญาตครูก่อน มักจะตอบคำถามโดยที่ฟังยังไม่ทันจบ ชอบพูดแทรกในเวลาที่ผู้อื่นกำลังคุยกัน หรือกระโดดเข้าเล่นร่วมลงโดยยังไม่ทันขออนุญาตก่อน เวลาทำการบ้านมักจะทำให้เสร็จไวๆ โดยไม่คำนึงถึงว่างานจะถูกต้องเสร็จเรียบร้อยหรือไม่
4. อาการอื่นๆ ในบางรายเด็ก ADHD จะมีอาการดื้อ ต่อต้าน เกเร ก้าวร้าว หรือมีพฤติกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย บางรายอาจจะมีพัฒนาการเด็กล่าช้า มีปัญหาทางด้านภาษา และการพูด บางรายจะมีปัญหาการประสานงานกล้ามเนื้อไม่ดี ปัญหาการเรียนรู้บกพร่อง ในบางรายอาจจะมีอาการทางจิตเวชเกิดร่วมด้วย เช่น อาการซึมเศร้า และโรควิตกกังวล
สรุปอาการขาดสมาธิ 9 ประการ คือ
1. ไม่สามารถจดจำรายละเอียดของงานได้ มักจะทำผิดเนื่องจากขาดความรอบคอบ
2. ไม่มีสมาธิในการทำงาน หรือเล่น
3. ไม่สนใจฟังคำพูดของคนอื่น
4. ไม่สามารถตั้งใจฟัง และเก็บรายละเอียดของคำสั่งได้
5. ทำงานไม่เป็นระเบียบ
6. ไม่เต็มใจ หรือเลี่ยงการทำงานที่ต้องใช้ความคิด
7. ทำของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนหรือการทำงานหายบ่อยๆ
8. วอกแวกง่ายๆ
9. ขี้ลืมบ่อยๆ ในกิจวัตรประจำวันของงานที่ทำ
ผู้ป่วยต้องมีอาการอย่างน้อย 6 อาการจาก 9 อาการขึ้นไป และเป็นอย่างน้อย 6 เดือน
อาการซน หุนหันพลันแล่น 9 ประการ คือ
1. ยุกยิก อยู่ไม่เป็นสุข ชอบขยับมือ ขยับเท้าไปมา
2. ชอบลุกจากที่นั่งเวลาเรียน หรือสถานที่ที่จำกัดให้ต้องนั่งเฉยๆ
3. ชอบวิ่งหรือปีนป่ายสิ่งต่างๆ (ในวัยรุ่นอาจจะแค่กระวนกระวายใจเท่านั้น)
4. ไม่สามารถเล่น หรือนั่งนิ่งอยู่เงียบๆ ได้
5. ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาเหมือนมีเครื่องยนต์ติดตัว
6. พูดมาก พูดไม่หยุด
7. ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถาม โดยที่ฟังคำถามยังไม่จบ
8. มีความลำบากในการเข้าคิวหรือการรอคอย
9. ชอบขัดจังหวะ หรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นคุยกันหรือแย่งเพื่อนเล่น
การวินิจฉัยโรค ต้องมีอาการ 6 อย่างใน 9 อย่างขึ้นไปนานกว่า 6 เดือน ก่อนอายุ 7 ปี และอาการต้องเกิดอย่างน้อย 2 แห่ง เช่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน การทำงาน การเข้าสังคม ซึ่งอาการทั้ง 9 ข้อนี้ ไม่ได้เกิดต่อเนื่องหลังจากผู้ป่วยเป็นโรคทางจิตเวช
การรักษา
การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการผสมผสานกันระหว่างการรักษา ด้วยการปรับพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม กับการรักษาทางยา
การปรับพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย
1. การฝึกสอนพ่อ แม่ ต้องอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจว่า โรคเด็กซน-สมาธิสั้น นั้นเกิดจากการทำงานของสมองไม่ดี เกิดจากความตั้งใจก่อกวน โดยพฤติกรรมของเด็กเอง
พ่อแม่ต้องเรียนรู้วิธีการดูแลเด็ก
เด็กเหล่านี้จะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนในสังคม เด็กจะทรมานกับการทำการบ้านแต่แล้วก็ลืมเอาไปส่งครู เด็กจะมีปัญหากับเพื่อนร่วมชั้น พี่น้อง ส่วนพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจเด็กก็จะไม่สนใจเนื่องจากเด็กจะไม่เชื่อฟังพ่อแม่จะไม่สามารถควบคุมเด็ก เด็กจะไม่มีระเบียบวินัย ต่อมาพ่อแม่ก็จะใช้วิธีดุ ตีแม้ว่าจะทราบว่าเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร พฤติกรรมการดุด่าและการลงโทษจะทำให้อาการของเด็กแย่ลง เด็กจะดื้อมากขึ้น ต่อต้าน ก้าวร้าว วิธีการที่ดีกว่าคือ การให้คำชมหรือรางวาลเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้อง และควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยการงดกิจกรรมที่เด็กชอบ หรือตัดสิทธิอื่นๆ
ทั้งพ่อแม่และเด็กจะต้องปรึกษาจิตแพทย์ หรือทีมสุขภาพจิต เพื่อช่วยกันประคับประคองความรู้สึก พฤติกรรมให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง พ่อและแม่ต้องพูดคุยกับแพทย์เพื่อที่จะได้ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับข้อจำกัด ที่ตัวเด็ก และช่วยแนะนำแนวทางปฏิบัติตัวเพื่อให้เด็กได้ใช้ความสามารถด้านอื่นทดแทนในส่วนที่บกพร่อง
2. การแนะนำต่อครู คุณครูควรจัดที่นั่งเด็กแถวหน้าหรือกลางห้อง ถ้าเด็กหมดสมาธิก็ให้โอกาสไปเดินได้ ชมเชยเมื่อเด็กทำดี แต่อย่าดุหรือลงโทษเมื่อทำผิด การสั่งการบ้านควรเขียนให้ชัดเจนให้เด็กทำงานทีละอย่าง อย่ามากไป อย่าตำหนิติเตียนเด็กอย่างรุนแรง พยายามเข้าใจและหาจุดดีของเด็ก สร้างความเข้าใจและอาจจำเป็นต้องสอนพิเศษ
3. แนะนำที่ตัวเด็กเอง เด็กควรได้รับการสอนเป็นพิเศษ เมื่อเรียนไม่ทัน มีการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ถ้าหากเด็กมีอาการโรคจิตอื่นๆ ด้วยต้องได้รับการบำบัด เด็ก ADHD ที่ขาดทักษะทางสังคมต้องมีการฝึกฝนทางสังคม ให้เข้ากับผู้อื่นได้ การฟัง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การแสดงออกที่เหมาะสมในโรงเรียน ควรจะมีการฝึกฝนสมาธิสำหรับเด็กด้วย
>การรักษาด้วยยา
แพทย์ที่รักษาโรคเด็กจะให้ยารักษาอาการซึมเศร้า ยากระตุ้นทางจิตเวช ยาต้านอัดรีเนอร์จิด และยาจิตเวช ต้องระมัดระวังใช้ยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย ใช้ง่าย มีผลข้างเคียงน้อย
*******************************************
เอกสารอ้างอิง:
1. สรรสารวงการแพทย์ "ADHD". ปีที่ 7 ฉบับที่ 202 ประจำวันที่ 15-31 กรกฎามคม 2548.
2. โรคสมาธสั้น; กรมสุขภาพจิต. 2538.
สุขภาพดี ดูแลได้ด้วยตัวคุณเอง ออกกำลังกาย ทานอาหารเพื่อสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ ยิ้มแย้มแจ่มใส
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย
โดย นพ.บัณฑิต ศรไพศาล/วารสารคลินิก ปีที่ 22 ฉบับที่1มกราคม 2549
จากข้อมูลจากรมสรรพสามิตพบว่า อัตราการบริโภคเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เฉลี่ย 58.0 ลิตรต่อคนต่อปีใน พ.ศ. 2546 เพิ่มจากปี พ.ศ. 2532 ที่อัตราการดื่มเฉลี่ย 20.2 ลิตรต่อคนต่อปีเกือบ 3 เท่าตัว เฉพาะอัตราการบริโภคเฉลี่ยต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2546 เทียบกับปี พ.ศ. 2532 มากกว่า 8 เท่าตัว จากอัตราเฉลี่ย 4.4 ลิตรต่อคนในปี พ.ศ. 2532 เพิ่มเป็น 39.4 ลิตรต่อคนในปี พ.ศ. 2546 โดยในปี พ.ศ. 2546 กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงถึง 6.27 หมื่นล้านบาทจากการใช้เงินประมาณ 2 แสนล้านบาทของคนไทยในการซื้อมาบริโภค
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชากรไทยอายุ 11 ปีขึ้นไป ในโครงการสำรวจสถิติสังคม การสำรวจเกี่ยวกับอนามัยและสวัสดิการ ซึ่งทำการสำรวจทุก 5 ปี ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าปี พงศ. 2546 คนไทยดื่มสุรา 18.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 35.46 ของประชากรอายุ 11 ปี ขึ้นไป แยกเป็นชาย 15.5 ล้านคน หรือร้อยละ 60.8 ของเพศชายอายุ 11 ปีขึ้นไป เป็นหญิง 3.95 ล้านคนหรือร้อยละ 14.5 ของเพศหญิงอายุ 11 ปีขึ้นไป สำหรับการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี พ.ศ. 2534, 2539, 2544 และ 2546 พบว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 1-2 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่ดื่มประจำ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในประชากรชายจากร้อยละ 34.9 ในปี พ.ศ. 2534 เป็นร้อยละ 39.1, 39.3 และ 43.9 ในปี พ.ศ. 2539, 2544 และ 2546 ตามลำดับ ส่วนเพศหญิงมีอัตราร้อยละ 18.1 ในปี พ.ศ. 2534 และมีแนวโน้มที่ลดลงเป็นร้อยละ 20.4, 19.5 และ 16.7 ในปี พ.ศ. 2539, 2544 และ 2546 ตามลำดับ
การสำรวจจำนวนผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากครัวเรือนตัวแทนทั่วประเทศที่มีอายุระหว่าง 12-65 ปี ซึ่งทำการสำรวจโดยคณะกรรมการบริหารเครือข่ายวิชาการสารเสพติด พบว่า ในปี พ.ศ. 2546 ประชากรร้อยละ 58.5 หรือประมาณ 26,566,000 คน เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชีวิต ร้อยละ 46.4 หรือประมาณ 21,083,200 คน ดื่มในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และร้อยละ 34.8 หรือประมาณ 15,786,500 คน ดื่มในช่วง 30 วัน ก่อนการสำรวจ เมื่อเทียบกับการสำรวจเช่นเดียวกันนี้ในปี พ.ศ. 2544 พบว่าอัตราการดื่มในปี พ.ศ. 2546 ลดลง แต่หากดูเฉพาะผู้ที่ดื่มมากกว่า 20 วัน ในระยะเวลา 30 วัน ก่อนสอบถาม ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ดื่มประจำหรือผู้ที่มีโอกาสติดสุราสูง พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น คือจากร้อยละ 3.5 ในปี พ.ศ. 2544 เป็นร้อยละ 4.1 ในปี พ.ศ. 2546
จำนวนเยาวชนที่ดื่มมากขึ้นและอายุที่เริ่มดื่มน้อยลง
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเด็กรุ่นใหม่มีแนวโน้มการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น และเริ่มดื่มที่อายุน้อยลง ในช่วงเวลาเพียง 7 ปี (พ.ศ. 2539-2546) กลุ่มผู้หญิงวัย 15-19 ปี เป็นกลุ่มที่น่าจับตามากที่สุด เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนขึ้นเกือบ 6 เท่า คือ จากร้อยละ 1.0 เป็นร้อยละ 5.6 และในกลุ่มหญิงที่ดื่มวัย 15-19 ปีนี้ร้อยละ 14.1 เป็นกลุ่มที่ดื่มประจำ (ดื่ม 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ถึงดื่มทุกวัน) วัยรุ่นเพศชายวัย 11-19 ปี ที่ดื่มมีจำนวนประมาณ 1.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 21.2 ของประชากรในกลุ่มอายุนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจซ้ำในปี พ.ศ. 2547 พบว่าประชากรชายเริ่มดื่มสุราครั้งแรกเมื่ออายุเฉลี่ย 19.4 ปี โดยร้อยละ 52.8 ของประชากรชายเริ่มดื่มครั้งแรกในช่วงอายุ 15-19 ปี ขณะที่หญิงเริ่มดื่มครั้งแรกในช่วงอายุ 20-24 ปี
ขณะที่ผลสำรวจจากนักเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดลพบุรี พบว่า นักเรียนชายและหญิงที่ดื่มสุราซึ่งมีอายุ 14-16 ปีในปัจจุบัน ระบุว่าเริ่มดื่มตั้งแต่อายุระหว่าง 13-14 ปี ด้วยอัตราส่วนสูงที่สุดประมาณร้อยละ 44 และ 46 ตามลำดับ ส่วนนักเรียนชายและหญิงที่อายุปัจจุบัน 17-20 ปี ระบุว่าเริ่มดื่มเมื่ออายุ 15-16 ปี สูงสุดด้วยอัตราใกล้เคียงกันคือประมาณร้อยละ 43 และ 40 ตามลำดับ จึงมีแนวโน้มว่านักเรียนเริ่มหัดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่ออายุน้อยลงเรื่อยๆ
แบบแผนการดื่มและรสนิยมในการดื่ม
ประชากรไทยดื่มสุราเป็นประจำเกือบ 1 ใน 6
ในปี พ.ศ. 2547 สำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจพบว่าประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปร้อยละ 17.8 ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มมึนเมาเป็นประจำ และร้อยละ 14.9 ดื่มนานๆ ครั้ง ส่วนประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ประชากรนิยมดื่มมากที่สุด ได้แก่ เบียร์และสุราขาว คิดเป็นร้อยละ 33.0 และ 32.3 ตามลำดับ
ผู้ที่ดื่มประจำส่วนใหญ่เลือกสุราขาวเป็นเครื่องดื่มประจำ สุราไทยเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มรวมเป็นกลุ่ม สุราจีนและยาดองเป็นเครื่องดื่มสำหรับการดื่มคนเดียว ส่วนเบียร์ผู้ชายจะดื่มเป็นกลุ่ม แต่ผู้หญิงจะดื่มเบียร์คนเดียว สุราขาวสำหรับผู้ชายนั้นจะดื่มทั้งเป็นกลุ่มและดื่มคนเดียว แต่ผู้หญิงจะดื่มสุราขาวเป็นกลุ่มมากกว่า
โครงการการศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อหามาตรการทางเลือกป้องกันและแก้ไข ซึ่งดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2539-2541 ที่จังหวัดลพบุรี พบว่า เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมของครัวเรือนในจังหวัดลพบุรี ได้แก่ สุราไทยหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าสุราแดง มี 3 ยี่ห้อ คือ แม่โขง หงษ์ทอง และแสงทิพย์ สุราขาวที่ชาวบ้านเรียกเหล้าขาวหรือ 35 ดีกรี สุราจีนหรือที่ชาวบ้านเรียกสุราเชี่ยงชุน เบียร์คือ สิงห์และช้าง และยาดอง มีการแบ่งกลุ่มผู้ดื่มเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ดื่มเป็นประจำซึ่งดื่มทุกวันหรือเกือบทุกวันโดยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือ 2 ชนิดอย่างสม่ำเสมอ อีกกลุ่มคือกลุ่มผู้ดื่มเป็นครั้งคราวเป็นผู้ที่ดื่มแต่เฉพาะเมื่อมีงานรื่นเริง งานเทศกาลหรือโอกาสสังสรรค์ กลุ่มที่ดื่มประจำส่วนมากร้อยละ 60.1 เลือกสุราขาวเป็นเครื่องดื่มประจำ ผู้ที่ดื่มเป็นประจำประมาณครึ่งหนึ่งเป็นพวกดื่มคนเดียว อีกครึ่งหนึ่งเป็นพวกที่ต้องดื่มเป็นกลุ่ม เช่น ดื่มกับเพื่อนบ้านหรือที่ทำงาน สุราไทยเป็นที่นิยมของผู้ดื่มเป็นกลุ่มมากกว่าผู้ดื่มคนเดียวตรงข้ามกับสุราจีนและยาดอง ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ดื่มสุราคนเดียวมากกว่าดื่มเป็นกลุ่ม สำหรับเบียร์มีลักษณะต่างกันระหว่างผู้ดื่มหญิงกับผู้ดื่มชาย คือ เบียร์นั้นเป็นที่นิยมของผู้ชายที่ดื่มเป็นกลุ่มมากกว่าผู้ชายที่ดื่มคนเดียว แต่ตรงข้ามกับผู้หญิงซึ่งนิยมดื่มเบียร์คนเดียวมากกว่าดื่มเป็นกลุ่ม นั่นหมายความว่าสุราไทยเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มรวมเป็นกลุ่มสุราจีนและยาดองเป็นเครื่องดื่มสำหรับดื่มคนเดียว ส่วนเบียร์ผู้ชายจะดื่มเป็นกลุ่ม แต่ผู้หญิงจะดื่มเบียร์คนเดียว สุราขาวสำหรับผู้ชายนั้นจะดื่มทั้งเป็นกลุ่มและดื่มคนเดียว แต่ผู้หญิงจะดื่มสุราขาวเป็นกลุ่มมากกว่า เครื่องดื่มที่ผู้หญิงนิยมดื่มมากกว่าผู้ชาย ได้แก่ น้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ไวน์พื้นบ้าน/สปาย/ไวน์ชาวบ้านทำเอง
ผู้ที่ดื่มเป็นครั้งคราวส่วนใหญ่จะดื่มเป็นกลุ่ม เบียร์และสุราไทยใช้เป็นเครื่องดื่มกับกลุ่มเพื่อนที่ทำงาน (เพื่อนในวิถีชีวิตแบบใหม่) ส่วนสุราขาวใช้เป็นเครื่องดื่มกับกลุ่มเพื่อนบ้าน(เพื่อนในวิถีชีวิตดั้งเดิม)
สำหรับกลุ่มผู้ดื่มเป็นครั้งคราว เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมรวมกลุ่มทางสังคมอย่างชัดเจน ผู้ดื่มเป็นครั้งคราวกว่าร้อยละ 80 มักดื่มเป็นกลุ่มกับเพื่อนบ้าน ญาติ เพื่อนที่ทำงาน และกับลูกน้อง พฤติกรรมการดื่มมีความแตกต่างระหว่างชนิดเครื่องดื่มกับกลุ่มที่ดื่มด้วย กล่าวคือผู้ชายที่ดื่มสุราไทยและผู้ชายที่ดื่มเบียร์มักจะดื่มกับเพื่อนที่ทำงานเป็นส่วนมาก คือ ร้อยละ 45.3 และร้อยละ 39.4 แต่ผู้ชายที่ดื่มสุราขาว จะดื่มกับญาติกับคู่รักมักจะดื่มเบียร์หรือสุราขาว ร้อยละ 24.5 และ 23.7 ตามลำดับ ส่วนผู้หญิงไม่ว่าจะดื่มสุราไทย เบียร์ หรือสุราขาว ก็มักจะดื่มกับเพื่อนบ้านเป็นส่วนมาก ร้อยละ 62.2, 58.3 และ 67.4
แรงงานสูงอายุนิยมดื่มสุราขาว แรงงานวัยกลางคนนิยมดื่มสุราไทย และแรงงานวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นนิยมดื่มเบียร์
ส่วนการสำรวจแรงงานในจังหวัดลพบุรี พบว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มแรงงานที่อายุต่ำกว่า 19 ปี กลุ่มอายุ 20-29 ปี และ 30-39 ปี ส่วนแรงงานอายุ 40-49 ปี จะนิยมดื่มสุราไทยมากที่สุดและผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป นิยมดื่มสุราขาว ส่วนใหญ่ผู้ใช้แรงงานจะดื่มสุราเป็นครั้งคราว ผู้ใช้แรงงานชายเกือบครึ่งรายงานว่าดื่มเฉลี่ยแต่ละครั้ง 1 ขวดแบน (350-375 มล.) ขณะที่อีก 1 ใน 5 ของแรงงานชายดื่มแต่ละครั้งเฉลี่ย 1 ขวดกลม (750 มล.)
เด็กวัยรุ่นนิยมดื่มสุราสมัยใหม่ ได้แก่สุราไทยและเบียร์
วิชัย โปษยะจินดา และคณะวิจัยศึกษาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นักเรียนในจังหวัดลพบุรีดื่มบ่อยที่สุด พบว่านักเรียนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณครึ่งหนึ่งดื่มสุราไทย นักเรียนที่ดื่มจำนวน 1 ใน 4 เลือกดื่มเบียร์ ขณะที่จำนวนนักเรียนที่ดื่มสุราต่างประเทศและไวน์คูลเลอร์เท่ากันคือประมาณ 1 ใน 10 ส่วนที่เหลือดื่มสุราขาวบ้าง สุราเถื่อนบ้าง ยาดองบ้าง สำหรับเหตุผลในการเลือกดื่มสุราไทยของนักเรียนทั้งชายและหญิงตรงกันคือ สุราไทยหาซื้อได้ง่าย ดื่มแล้วสนุกสนาน ส่วนเหตุผลในการเลือกดื่มเบียร์ทั้ง 2 กลุ่มเห็นตรงกันคือดื่มแล้วไม่เมาและมีแอลกอฮอล์น้อย
ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีหลายประการและมากขึ้นตามปริมาณที่ดื่มด้วย
ผลการศึกษาผลกระทบของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จังหวัดลพบุรี พบว่า กลุ่มที่ดื่มประจำเพศชายรายงานว่าเกิดปัญหาทะเลาะวิวาทเป็นอันดับหนึ่ง คือ ร้อยละ 45.6 ตามมาด้วยปัญหาสุขภาพ และปัญหาอุบัติเหตุร้อยละ 32.9 และ 30.1 ตามลำดับ ส่วนเพศหญิงที่ดื่มประจำรายงานว่าเกิดปัญหาทะเลาะวิวาทปัญหาสุขภาพ และปัญหาอุบัติเหตุร้อยละ 33.2, 19.7 และ 4.8 ตามลำดับ และยังพบว่าการดื่มเครื่องดื่มฯ ทำให้เกิดอันตรายหรือปัญหากับผู้ดื่มมากขึ้นตามปริมาณการดื่มที่มากขึ้นด้วย โดยพบว่าอัตราส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มทั้งด้านการทะเลาะวิวาทสุขภาพ และอุบัติเหตุมีมากที่สุดในกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มฯ “ประจำ” ลดน้อยลงในกลุ่มที่ดื่ม “ครั้งคราว” และน้อยที่สุดในกลุ่มที่ “หยุดดื่ม” ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดทั้งผู้ดื่มผู้หญิงและผู้ชาย ดังนี้ ปัญหาการทะเลาะวิวาทเกิดกับชายดื่มประจำมากกว่าชายหยุดดื่มเกือบ 6 เท่า เกิดกับหญิงดื่มประจำมากกว่าหญิงหยุดดื่มเกือบ 14 เท่า ปัญหาสุขภาพของชายดื่มประจำเกิดขึ้นมากกว่าชาย หยุดดื่มถึง 3 เท่ากว่า และในกลุ่มหญิงดื่มประจำสูงถึง 9 เท่า เมื่อเทียบกับหญิงที่หยุดดื่ม และปัญหาอุบัติเหตุ ซึ่งเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนั้น เกิดกับชายดื่มประจำมากกว่าชายหยุดดื่มถึง 7 เท่า เกิดกับหญิงดื่มประจำสูงเกือบ 14 เท่า เมื่อเทียบกับผู้หญิงหยุดดื่ม
ผลการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยกนิษฐา บุญธรรมเจริญและคณะ ทำงานศึกษาภาระโรคจากพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2542 พบว่าภาระโรคที่มีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันดับ 2 ของการสูญเสียทางสุขภาพ โดยทำให้เกิดภาระโรค คิดเป็นร้อยละ 5.8 ของการสูญเสียทั้งหมด โดยเป็นรองจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และสร้างภาระโรคมากกว่าการสูบบุหรี่ ความดันเลือด การไม่สวมหมวกนิรภัย เป็นต้น โดยเพศชายมีการสูญเสียที่มากถึงร้อยละ 9.2 ส่วนเพศหญิงน้อยกว่า คือ สูญเสียเพียงร้อยละ 1.
ผลกระทบด้านปัญหาความรุนแรงและการทะเลาะวิวาท
ครอบครัวเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มฯ ของคนในครอบครัว
การดื่มสุราส่งผลให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย ไม่เฉพาะต่อผู้ที่ดื่มเท่านั้น แต่เกิดกับคนรอบข้างด้วย ครอบครัวที่มีสมาชิกดื่มเครื่องดื่มฯ แม้เพียง 1 คน ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจมากหรือน้อยตามความรุนแรงของปัญหา แต่หน่วยที่ต้องแบกรับภาระความเสียหายคือ ครอบครัว จากการวิจัยพบว่า ปัญหาที่เกิดในครอบครัวจากสามีที่ดื่มเครื่องดื่มฯ “ประจำ"”แล้วทำร้ายร่างกายภรรยาเกิดขึ้นร้อยละ 5.7 และภรรยาที่ดื่ม “ประจำ” แล้วทำร้ายร่างกายสามีเกิดขึ้นร้อยละ 6.2 ของผู้ที่ดื่มประจำ ดังข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพของมูลนิธิเพื่อนหญิง พบว่าผลพวงของการดื่มสุราทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว จนกระทั่งป้าบังอร (นามสมมติ) ต้องตัดสินใจเลิกกับสามีอย่างเด็ดขาด ป้าบอกว่า “วันนั้นเขาเมามาก แล้วมาพาลป้า ป้าก็บอกเขาดีๆ ว่าเมาแล้วก็ไปนอน แต่เขาไม่ฟังตรงเข้ามาเตะป้าที่หน้า โดนฟันป้าหัก ฟันที่หักปักหลังเท้าเขาไป 2 ซี่ ปากของป้าเต็มไปด้วยเลือด จนต้องไปโรงพยาบาลเย็บปากและเหงือกที่แตก ป้าต้องรักษาตัวเป็นเดือนๆ ทรมานที่สุด เจ็บระบมปากไปหมด กินได้เฉพาะน้ำข้าว ใช้หลอดดูด กินแบบนี้เป็นเดือนๆ จึงตัดสินใจเลิก ลูกๆ ก็โตกันหมดแล้ว ช่วยตนเองได้แล้ว ไม่อยากอยู่กับเขาอีกแล้ว
รณชัย คงสกลธ์ ศึกษาเปรียบเทียบครอบครัวที่มีความรุนแรง 100 ครอบครัว กับครอบครัวที่ไม่ใช้ความรุนแรง 100 ครอบครัว จาก 7 ชุมชนรอบโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ครอบครัวที่ใช้สุรามีโอกาสเกิดความรุนแรงในครอบครัวเป็น 3.84 เท่า เมื่อเทียบกับครอบครัวที่ไม่ใช้สุรา
การดื่มสุรานอกจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ครอบครัวผู้ดื่มแล้ว ยังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย
ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลคดีอาญาศาลจังหวัดลพบุรี ซึ่งมีสาเหตุมีการดื่มสุราเกี่ยวข้องเมื่อเทียบเป็นความชุกจำเพาะตามประเภทฐานความผิด พบดังนี้
1. ความผิดทำให้เสียทรัพย์ มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 59.1
2. ความผิดเกี่ยวกับเพศ มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 34.8
3. ความผิดต่อร่างกาย มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 20.8
4. ความผิดฐานบุกรุก มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 16.1
5. ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 10.5
ผลกระทบด้านปัญหาสุขภาพ
สุราก่อให้เกิดโรคมากมายและสร้างภาวะโรคเป็นอันดับต้นๆ ของปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย
สำหรับปัญหากายภาพเรื้อรังนั้น องค์การอนามัยโลกคาดประมาณว่า ร้อยละ 30 ของการตายจากมะเร็งหลอดอาหาร โรคตับ โรคชัก อุบัติเหตุจราจร ฆาตกรรม และการบาดเจ็บโดยเจตนา มีสาเหตุจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และในกลุ่มประเทศยุโรปที่มีอัตราการบริโภคพอๆ กับคนไทยนั้น 1 ใน 4 ของการตายในผู้ชายอายุระหว่าง 15-29 ปี นั้นมีสาเหตุมาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยอาจสรุปเป็นความเสี่ยงระหว่างผู้ไม่ดื่มและผู้ที่ดื่มประจำทุกวัน (category II) ในปริมาณ 20.0-39.9 กรัมของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือเทียบได้กับเบียร์ 1-2 ขวดใหญ่ โดยประมาณดังนี้ แท้ง (spontaneous abortion) เสี่ยง 1.8 เท่า มารดาคลอดทารกน้ำหนักต่ำ (low birth weight) เสี่ยง 1.4 เท่า มะเร็งปากและช่องปาก (mouth and oropharynx cancers) เสี่ยง 1.8 เท่า มะเร็งหลอดอาหาร (esophagus cancer) เสี่ยง 2.4 เท่า มะเร็งอื่นๆ เสี่ยง 1.3 เท่า ความดันเลือดสูง เสี่ยง 2.0 เท่า ตับแข็ง (liver cirrhosis) เสี่ยง 9.5 เท่า หัวใจเต้นผิดปกติ (cardiac arrhythmias) เสี่ยง 2.2 เท่า
ข้อมูลปัญหาสัมพันธภาพและสุขภาพจิตจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่มีขนาดปัญหาค่อนข้างใหญ่ซึมลึกแต่ไม่ค่อยมีการพูดถึง ได้แก่ อัตราการติดสุรามีความสัมพัน์กับภาวะความเครียดและอาการซึมเศร้าสูงมาก โดยมีผลการวิจัยพบดังนี้ ผู้ที่ติดสุราร้อยละ 51.2 มีความเครียดอยู่ในระดับสูงหรือรุนแรง ร้อยละ 48.6 มีอาการซึมเศร้าอยู่ในระดับที่ถือว่าควรจะไปพบแพทย์ ร้อยละ 11.9 มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ร้อยละ 11.3 มีความคิดอยากฆ่าผู้อื่น เด็กวัยรุ่นที่มีบิดาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง มีความเสี่ยงต่ออาการเกิดปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าเด็กวัยรุ่นที่บิดาไม่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง 11.5 เท่า มารดาวัยรุ่นที่บิดาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตมากกว่ามารดาวัยรุ่นที่บิดาไม่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง 13.5 เท่า และผู้ติดสุราส่วนใหญ่ร้อยละ 64.3 มีบิดามารดาหรือญาติที่ดื่มสุรา ปัญหาการหย่าร้างและเปลี่ยนงานในผู้ติดสุรามีแนวโน้มสูงเกินครึ่งหนึ่งของผู้ติดสุรา
จากรายงานประจำปีขององค์การอนามัยโลกปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) ที่มุ่งชี้ให้เห็นภาระโรค (disease burden) จากมุมมองความเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงพบว่า การบริโภคแอลกอฮอล์เป็นความเสี่ยงที่มีภาระโรคสูงเป็นอันดับ 5 รองจากภาวะขาดอาหาร เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (unsafe sex) ภาวะความดันเลือดสูง การบริโภคยาสูบ โดยการบริโภคแอลกอฮอล์นำมาซึ่งการตายก่อนวัยอันควรจากอุบัติเหตุ ความรุนแรง และโรคภัยไข้เจ็บมากมายซึ่งการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญ
ผลกระทบด้านปัญหาอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
สุราเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
จากข้อมูลของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเครือข่ายเฝ้าระวังการบาดเจ็บระดับจังหวัด สำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 14 โรง ใน ปี พ.ศ. 2541 พบว่า จำนวนผู้บาดเจ็บที่ถูกทำร้ายทั้งหมด 15,714 ราย มีการเสพสุราเป็นปัจจัยร่วมถึงร้อยละ 45
จากสถิติคดีจราจรทางบกในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าจำนวนคดีอุบัติเหตุที่มีสาเหตุจากการดื่มสุราเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึงปี พ.ศ. 2547 โดยเพิ่มขึ้นคิดเป็น 5 เท่า ในเวลา 4 ปี จากจำนวน 1,811 คดี ในปี พ.ศ. 2543 เป็น 9,279 คดีในปี พ.ศ. 2547 ดังแผนภูมิที่ 1
ตัวอย่างที่ชัดเจนอาจเห็นได้จากรายงานการเฝ้าระวังการบาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุขนส่งในช่วงวันหยุดปีใหม่ พ.ศ. 2547 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าร้อยละ 72.7 ของผู้บาดเจ็บรุนแรงจำนวน 1,405 คน จากพาหนะทุกประเภทดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเกิดเหตุ และที่น่าเศร้าคือ ร้อยละ 44.2 ของผู้บาดเจ็บรุนแรงที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งสูงกว่าปี พ.ศ. 2546 ซึ่งมีร้อยละ 19.2
*******************************************
ที่มาของข้อมูล: จาก คลินิก ปีที่ 22 ฉบับที่ 1 มกราคม 2549 หน้า 7-13
โดย นพ.บัณฑิต ศรไพศาล/วารสารคลินิก ปีที่ 22 ฉบับที่1มกราคม 2549
จากข้อมูลจากรมสรรพสามิตพบว่า อัตราการบริโภคเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เฉลี่ย 58.0 ลิตรต่อคนต่อปีใน พ.ศ. 2546 เพิ่มจากปี พ.ศ. 2532 ที่อัตราการดื่มเฉลี่ย 20.2 ลิตรต่อคนต่อปีเกือบ 3 เท่าตัว เฉพาะอัตราการบริโภคเฉลี่ยต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2546 เทียบกับปี พ.ศ. 2532 มากกว่า 8 เท่าตัว จากอัตราเฉลี่ย 4.4 ลิตรต่อคนในปี พ.ศ. 2532 เพิ่มเป็น 39.4 ลิตรต่อคนในปี พ.ศ. 2546 โดยในปี พ.ศ. 2546 กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงถึง 6.27 หมื่นล้านบาทจากการใช้เงินประมาณ 2 แสนล้านบาทของคนไทยในการซื้อมาบริโภค
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชากรไทยอายุ 11 ปีขึ้นไป ในโครงการสำรวจสถิติสังคม การสำรวจเกี่ยวกับอนามัยและสวัสดิการ ซึ่งทำการสำรวจทุก 5 ปี ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าปี พงศ. 2546 คนไทยดื่มสุรา 18.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 35.46 ของประชากรอายุ 11 ปี ขึ้นไป แยกเป็นชาย 15.5 ล้านคน หรือร้อยละ 60.8 ของเพศชายอายุ 11 ปีขึ้นไป เป็นหญิง 3.95 ล้านคนหรือร้อยละ 14.5 ของเพศหญิงอายุ 11 ปีขึ้นไป สำหรับการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี พ.ศ. 2534, 2539, 2544 และ 2546 พบว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 1-2 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่ดื่มประจำ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในประชากรชายจากร้อยละ 34.9 ในปี พ.ศ. 2534 เป็นร้อยละ 39.1, 39.3 และ 43.9 ในปี พ.ศ. 2539, 2544 และ 2546 ตามลำดับ ส่วนเพศหญิงมีอัตราร้อยละ 18.1 ในปี พ.ศ. 2534 และมีแนวโน้มที่ลดลงเป็นร้อยละ 20.4, 19.5 และ 16.7 ในปี พ.ศ. 2539, 2544 และ 2546 ตามลำดับ
การสำรวจจำนวนผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากครัวเรือนตัวแทนทั่วประเทศที่มีอายุระหว่าง 12-65 ปี ซึ่งทำการสำรวจโดยคณะกรรมการบริหารเครือข่ายวิชาการสารเสพติด พบว่า ในปี พ.ศ. 2546 ประชากรร้อยละ 58.5 หรือประมาณ 26,566,000 คน เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชีวิต ร้อยละ 46.4 หรือประมาณ 21,083,200 คน ดื่มในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และร้อยละ 34.8 หรือประมาณ 15,786,500 คน ดื่มในช่วง 30 วัน ก่อนการสำรวจ เมื่อเทียบกับการสำรวจเช่นเดียวกันนี้ในปี พ.ศ. 2544 พบว่าอัตราการดื่มในปี พ.ศ. 2546 ลดลง แต่หากดูเฉพาะผู้ที่ดื่มมากกว่า 20 วัน ในระยะเวลา 30 วัน ก่อนสอบถาม ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ดื่มประจำหรือผู้ที่มีโอกาสติดสุราสูง พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น คือจากร้อยละ 3.5 ในปี พ.ศ. 2544 เป็นร้อยละ 4.1 ในปี พ.ศ. 2546
จำนวนเยาวชนที่ดื่มมากขึ้นและอายุที่เริ่มดื่มน้อยลง
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเด็กรุ่นใหม่มีแนวโน้มการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น และเริ่มดื่มที่อายุน้อยลง ในช่วงเวลาเพียง 7 ปี (พ.ศ. 2539-2546) กลุ่มผู้หญิงวัย 15-19 ปี เป็นกลุ่มที่น่าจับตามากที่สุด เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนขึ้นเกือบ 6 เท่า คือ จากร้อยละ 1.0 เป็นร้อยละ 5.6 และในกลุ่มหญิงที่ดื่มวัย 15-19 ปีนี้ร้อยละ 14.1 เป็นกลุ่มที่ดื่มประจำ (ดื่ม 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ถึงดื่มทุกวัน) วัยรุ่นเพศชายวัย 11-19 ปี ที่ดื่มมีจำนวนประมาณ 1.1 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 21.2 ของประชากรในกลุ่มอายุนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจซ้ำในปี พ.ศ. 2547 พบว่าประชากรชายเริ่มดื่มสุราครั้งแรกเมื่ออายุเฉลี่ย 19.4 ปี โดยร้อยละ 52.8 ของประชากรชายเริ่มดื่มครั้งแรกในช่วงอายุ 15-19 ปี ขณะที่หญิงเริ่มดื่มครั้งแรกในช่วงอายุ 20-24 ปี
ขณะที่ผลสำรวจจากนักเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดลพบุรี พบว่า นักเรียนชายและหญิงที่ดื่มสุราซึ่งมีอายุ 14-16 ปีในปัจจุบัน ระบุว่าเริ่มดื่มตั้งแต่อายุระหว่าง 13-14 ปี ด้วยอัตราส่วนสูงที่สุดประมาณร้อยละ 44 และ 46 ตามลำดับ ส่วนนักเรียนชายและหญิงที่อายุปัจจุบัน 17-20 ปี ระบุว่าเริ่มดื่มเมื่ออายุ 15-16 ปี สูงสุดด้วยอัตราใกล้เคียงกันคือประมาณร้อยละ 43 และ 40 ตามลำดับ จึงมีแนวโน้มว่านักเรียนเริ่มหัดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่ออายุน้อยลงเรื่อยๆ
แบบแผนการดื่มและรสนิยมในการดื่ม
ประชากรไทยดื่มสุราเป็นประจำเกือบ 1 ใน 6
ในปี พ.ศ. 2547 สำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจพบว่าประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปร้อยละ 17.8 ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มมึนเมาเป็นประจำ และร้อยละ 14.9 ดื่มนานๆ ครั้ง ส่วนประเภทของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ประชากรนิยมดื่มมากที่สุด ได้แก่ เบียร์และสุราขาว คิดเป็นร้อยละ 33.0 และ 32.3 ตามลำดับ
ผู้ที่ดื่มประจำส่วนใหญ่เลือกสุราขาวเป็นเครื่องดื่มประจำ สุราไทยเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มรวมเป็นกลุ่ม สุราจีนและยาดองเป็นเครื่องดื่มสำหรับการดื่มคนเดียว ส่วนเบียร์ผู้ชายจะดื่มเป็นกลุ่ม แต่ผู้หญิงจะดื่มเบียร์คนเดียว สุราขาวสำหรับผู้ชายนั้นจะดื่มทั้งเป็นกลุ่มและดื่มคนเดียว แต่ผู้หญิงจะดื่มสุราขาวเป็นกลุ่มมากกว่า
โครงการการศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อหามาตรการทางเลือกป้องกันและแก้ไข ซึ่งดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2539-2541 ที่จังหวัดลพบุรี พบว่า เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมของครัวเรือนในจังหวัดลพบุรี ได้แก่ สุราไทยหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าสุราแดง มี 3 ยี่ห้อ คือ แม่โขง หงษ์ทอง และแสงทิพย์ สุราขาวที่ชาวบ้านเรียกเหล้าขาวหรือ 35 ดีกรี สุราจีนหรือที่ชาวบ้านเรียกสุราเชี่ยงชุน เบียร์คือ สิงห์และช้าง และยาดอง มีการแบ่งกลุ่มผู้ดื่มเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ดื่มเป็นประจำซึ่งดื่มทุกวันหรือเกือบทุกวันโดยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือ 2 ชนิดอย่างสม่ำเสมอ อีกกลุ่มคือกลุ่มผู้ดื่มเป็นครั้งคราวเป็นผู้ที่ดื่มแต่เฉพาะเมื่อมีงานรื่นเริง งานเทศกาลหรือโอกาสสังสรรค์ กลุ่มที่ดื่มประจำส่วนมากร้อยละ 60.1 เลือกสุราขาวเป็นเครื่องดื่มประจำ ผู้ที่ดื่มเป็นประจำประมาณครึ่งหนึ่งเป็นพวกดื่มคนเดียว อีกครึ่งหนึ่งเป็นพวกที่ต้องดื่มเป็นกลุ่ม เช่น ดื่มกับเพื่อนบ้านหรือที่ทำงาน สุราไทยเป็นที่นิยมของผู้ดื่มเป็นกลุ่มมากกว่าผู้ดื่มคนเดียวตรงข้ามกับสุราจีนและยาดอง ซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ดื่มสุราคนเดียวมากกว่าดื่มเป็นกลุ่ม สำหรับเบียร์มีลักษณะต่างกันระหว่างผู้ดื่มหญิงกับผู้ดื่มชาย คือ เบียร์นั้นเป็นที่นิยมของผู้ชายที่ดื่มเป็นกลุ่มมากกว่าผู้ชายที่ดื่มคนเดียว แต่ตรงข้ามกับผู้หญิงซึ่งนิยมดื่มเบียร์คนเดียวมากกว่าดื่มเป็นกลุ่ม นั่นหมายความว่าสุราไทยเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มรวมเป็นกลุ่มสุราจีนและยาดองเป็นเครื่องดื่มสำหรับดื่มคนเดียว ส่วนเบียร์ผู้ชายจะดื่มเป็นกลุ่ม แต่ผู้หญิงจะดื่มเบียร์คนเดียว สุราขาวสำหรับผู้ชายนั้นจะดื่มทั้งเป็นกลุ่มและดื่มคนเดียว แต่ผู้หญิงจะดื่มสุราขาวเป็นกลุ่มมากกว่า เครื่องดื่มที่ผู้หญิงนิยมดื่มมากกว่าผู้ชาย ได้แก่ น้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ไวน์พื้นบ้าน/สปาย/ไวน์ชาวบ้านทำเอง
ผู้ที่ดื่มเป็นครั้งคราวส่วนใหญ่จะดื่มเป็นกลุ่ม เบียร์และสุราไทยใช้เป็นเครื่องดื่มกับกลุ่มเพื่อนที่ทำงาน (เพื่อนในวิถีชีวิตแบบใหม่) ส่วนสุราขาวใช้เป็นเครื่องดื่มกับกลุ่มเพื่อนบ้าน(เพื่อนในวิถีชีวิตดั้งเดิม)
สำหรับกลุ่มผู้ดื่มเป็นครั้งคราว เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมรวมกลุ่มทางสังคมอย่างชัดเจน ผู้ดื่มเป็นครั้งคราวกว่าร้อยละ 80 มักดื่มเป็นกลุ่มกับเพื่อนบ้าน ญาติ เพื่อนที่ทำงาน และกับลูกน้อง พฤติกรรมการดื่มมีความแตกต่างระหว่างชนิดเครื่องดื่มกับกลุ่มที่ดื่มด้วย กล่าวคือผู้ชายที่ดื่มสุราไทยและผู้ชายที่ดื่มเบียร์มักจะดื่มกับเพื่อนที่ทำงานเป็นส่วนมาก คือ ร้อยละ 45.3 และร้อยละ 39.4 แต่ผู้ชายที่ดื่มสุราขาว จะดื่มกับญาติกับคู่รักมักจะดื่มเบียร์หรือสุราขาว ร้อยละ 24.5 และ 23.7 ตามลำดับ ส่วนผู้หญิงไม่ว่าจะดื่มสุราไทย เบียร์ หรือสุราขาว ก็มักจะดื่มกับเพื่อนบ้านเป็นส่วนมาก ร้อยละ 62.2, 58.3 และ 67.4
แรงงานสูงอายุนิยมดื่มสุราขาว แรงงานวัยกลางคนนิยมดื่มสุราไทย และแรงงานวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นนิยมดื่มเบียร์
ส่วนการสำรวจแรงงานในจังหวัดลพบุรี พบว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มแรงงานที่อายุต่ำกว่า 19 ปี กลุ่มอายุ 20-29 ปี และ 30-39 ปี ส่วนแรงงานอายุ 40-49 ปี จะนิยมดื่มสุราไทยมากที่สุดและผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป นิยมดื่มสุราขาว ส่วนใหญ่ผู้ใช้แรงงานจะดื่มสุราเป็นครั้งคราว ผู้ใช้แรงงานชายเกือบครึ่งรายงานว่าดื่มเฉลี่ยแต่ละครั้ง 1 ขวดแบน (350-375 มล.) ขณะที่อีก 1 ใน 5 ของแรงงานชายดื่มแต่ละครั้งเฉลี่ย 1 ขวดกลม (750 มล.)
เด็กวัยรุ่นนิยมดื่มสุราสมัยใหม่ ได้แก่สุราไทยและเบียร์
วิชัย โปษยะจินดา และคณะวิจัยศึกษาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นักเรียนในจังหวัดลพบุรีดื่มบ่อยที่สุด พบว่านักเรียนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณครึ่งหนึ่งดื่มสุราไทย นักเรียนที่ดื่มจำนวน 1 ใน 4 เลือกดื่มเบียร์ ขณะที่จำนวนนักเรียนที่ดื่มสุราต่างประเทศและไวน์คูลเลอร์เท่ากันคือประมาณ 1 ใน 10 ส่วนที่เหลือดื่มสุราขาวบ้าง สุราเถื่อนบ้าง ยาดองบ้าง สำหรับเหตุผลในการเลือกดื่มสุราไทยของนักเรียนทั้งชายและหญิงตรงกันคือ สุราไทยหาซื้อได้ง่าย ดื่มแล้วสนุกสนาน ส่วนเหตุผลในการเลือกดื่มเบียร์ทั้ง 2 กลุ่มเห็นตรงกันคือดื่มแล้วไม่เมาและมีแอลกอฮอล์น้อย
ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีหลายประการและมากขึ้นตามปริมาณที่ดื่มด้วย
ผลการศึกษาผลกระทบของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จังหวัดลพบุรี พบว่า กลุ่มที่ดื่มประจำเพศชายรายงานว่าเกิดปัญหาทะเลาะวิวาทเป็นอันดับหนึ่ง คือ ร้อยละ 45.6 ตามมาด้วยปัญหาสุขภาพ และปัญหาอุบัติเหตุร้อยละ 32.9 และ 30.1 ตามลำดับ ส่วนเพศหญิงที่ดื่มประจำรายงานว่าเกิดปัญหาทะเลาะวิวาทปัญหาสุขภาพ และปัญหาอุบัติเหตุร้อยละ 33.2, 19.7 และ 4.8 ตามลำดับ และยังพบว่าการดื่มเครื่องดื่มฯ ทำให้เกิดอันตรายหรือปัญหากับผู้ดื่มมากขึ้นตามปริมาณการดื่มที่มากขึ้นด้วย โดยพบว่าอัตราส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ดื่มทั้งด้านการทะเลาะวิวาทสุขภาพ และอุบัติเหตุมีมากที่สุดในกลุ่มที่ดื่มเครื่องดื่มฯ “ประจำ” ลดน้อยลงในกลุ่มที่ดื่ม “ครั้งคราว” และน้อยที่สุดในกลุ่มที่ “หยุดดื่ม” ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดทั้งผู้ดื่มผู้หญิงและผู้ชาย ดังนี้ ปัญหาการทะเลาะวิวาทเกิดกับชายดื่มประจำมากกว่าชายหยุดดื่มเกือบ 6 เท่า เกิดกับหญิงดื่มประจำมากกว่าหญิงหยุดดื่มเกือบ 14 เท่า ปัญหาสุขภาพของชายดื่มประจำเกิดขึ้นมากกว่าชาย หยุดดื่มถึง 3 เท่ากว่า และในกลุ่มหญิงดื่มประจำสูงถึง 9 เท่า เมื่อเทียบกับหญิงที่หยุดดื่ม และปัญหาอุบัติเหตุ ซึ่งเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนั้น เกิดกับชายดื่มประจำมากกว่าชายหยุดดื่มถึง 7 เท่า เกิดกับหญิงดื่มประจำสูงเกือบ 14 เท่า เมื่อเทียบกับผู้หญิงหยุดดื่ม
ผลการศึกษาผลกระทบทางสุขภาพจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยกนิษฐา บุญธรรมเจริญและคณะ ทำงานศึกษาภาระโรคจากพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ. 2542 พบว่าภาระโรคที่มีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันดับ 2 ของการสูญเสียทางสุขภาพ โดยทำให้เกิดภาระโรค คิดเป็นร้อยละ 5.8 ของการสูญเสียทั้งหมด โดยเป็นรองจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และสร้างภาระโรคมากกว่าการสูบบุหรี่ ความดันเลือด การไม่สวมหมวกนิรภัย เป็นต้น โดยเพศชายมีการสูญเสียที่มากถึงร้อยละ 9.2 ส่วนเพศหญิงน้อยกว่า คือ สูญเสียเพียงร้อยละ 1.
ผลกระทบด้านปัญหาความรุนแรงและการทะเลาะวิวาท
ครอบครัวเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มฯ ของคนในครอบครัว
การดื่มสุราส่งผลให้เกิดผลกระทบตามมามากมาย ไม่เฉพาะต่อผู้ที่ดื่มเท่านั้น แต่เกิดกับคนรอบข้างด้วย ครอบครัวที่มีสมาชิกดื่มเครื่องดื่มฯ แม้เพียง 1 คน ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจมากหรือน้อยตามความรุนแรงของปัญหา แต่หน่วยที่ต้องแบกรับภาระความเสียหายคือ ครอบครัว จากการวิจัยพบว่า ปัญหาที่เกิดในครอบครัวจากสามีที่ดื่มเครื่องดื่มฯ “ประจำ"”แล้วทำร้ายร่างกายภรรยาเกิดขึ้นร้อยละ 5.7 และภรรยาที่ดื่ม “ประจำ” แล้วทำร้ายร่างกายสามีเกิดขึ้นร้อยละ 6.2 ของผู้ที่ดื่มประจำ ดังข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพของมูลนิธิเพื่อนหญิง พบว่าผลพวงของการดื่มสุราทำให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว จนกระทั่งป้าบังอร (นามสมมติ) ต้องตัดสินใจเลิกกับสามีอย่างเด็ดขาด ป้าบอกว่า “วันนั้นเขาเมามาก แล้วมาพาลป้า ป้าก็บอกเขาดีๆ ว่าเมาแล้วก็ไปนอน แต่เขาไม่ฟังตรงเข้ามาเตะป้าที่หน้า โดนฟันป้าหัก ฟันที่หักปักหลังเท้าเขาไป 2 ซี่ ปากของป้าเต็มไปด้วยเลือด จนต้องไปโรงพยาบาลเย็บปากและเหงือกที่แตก ป้าต้องรักษาตัวเป็นเดือนๆ ทรมานที่สุด เจ็บระบมปากไปหมด กินได้เฉพาะน้ำข้าว ใช้หลอดดูด กินแบบนี้เป็นเดือนๆ จึงตัดสินใจเลิก ลูกๆ ก็โตกันหมดแล้ว ช่วยตนเองได้แล้ว ไม่อยากอยู่กับเขาอีกแล้ว
รณชัย คงสกลธ์ ศึกษาเปรียบเทียบครอบครัวที่มีความรุนแรง 100 ครอบครัว กับครอบครัวที่ไม่ใช้ความรุนแรง 100 ครอบครัว จาก 7 ชุมชนรอบโรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ครอบครัวที่ใช้สุรามีโอกาสเกิดความรุนแรงในครอบครัวเป็น 3.84 เท่า เมื่อเทียบกับครอบครัวที่ไม่ใช้สุรา
การดื่มสุรานอกจากจะทำให้เกิดอันตรายแก่ครอบครัวผู้ดื่มแล้ว ยังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย
ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลคดีอาญาศาลจังหวัดลพบุรี ซึ่งมีสาเหตุมีการดื่มสุราเกี่ยวข้องเมื่อเทียบเป็นความชุกจำเพาะตามประเภทฐานความผิด พบดังนี้
1. ความผิดทำให้เสียทรัพย์ มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 59.1
2. ความผิดเกี่ยวกับเพศ มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 34.8
3. ความผิดต่อร่างกาย มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 20.8
4. ความผิดฐานบุกรุก มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 16.1
5. ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา มีการดื่มสุราเกี่ยวข้องร้อยละ 10.5
ผลกระทบด้านปัญหาสุขภาพ
สุราก่อให้เกิดโรคมากมายและสร้างภาวะโรคเป็นอันดับต้นๆ ของปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย
สำหรับปัญหากายภาพเรื้อรังนั้น องค์การอนามัยโลกคาดประมาณว่า ร้อยละ 30 ของการตายจากมะเร็งหลอดอาหาร โรคตับ โรคชัก อุบัติเหตุจราจร ฆาตกรรม และการบาดเจ็บโดยเจตนา มีสาเหตุจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และในกลุ่มประเทศยุโรปที่มีอัตราการบริโภคพอๆ กับคนไทยนั้น 1 ใน 4 ของการตายในผู้ชายอายุระหว่าง 15-29 ปี นั้นมีสาเหตุมาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยอาจสรุปเป็นความเสี่ยงระหว่างผู้ไม่ดื่มและผู้ที่ดื่มประจำทุกวัน (category II) ในปริมาณ 20.0-39.9 กรัมของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือเทียบได้กับเบียร์ 1-2 ขวดใหญ่ โดยประมาณดังนี้ แท้ง (spontaneous abortion) เสี่ยง 1.8 เท่า มารดาคลอดทารกน้ำหนักต่ำ (low birth weight) เสี่ยง 1.4 เท่า มะเร็งปากและช่องปาก (mouth and oropharynx cancers) เสี่ยง 1.8 เท่า มะเร็งหลอดอาหาร (esophagus cancer) เสี่ยง 2.4 เท่า มะเร็งอื่นๆ เสี่ยง 1.3 เท่า ความดันเลือดสูง เสี่ยง 2.0 เท่า ตับแข็ง (liver cirrhosis) เสี่ยง 9.5 เท่า หัวใจเต้นผิดปกติ (cardiac arrhythmias) เสี่ยง 2.2 เท่า
ข้อมูลปัญหาสัมพันธภาพและสุขภาพจิตจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่มีขนาดปัญหาค่อนข้างใหญ่ซึมลึกแต่ไม่ค่อยมีการพูดถึง ได้แก่ อัตราการติดสุรามีความสัมพัน์กับภาวะความเครียดและอาการซึมเศร้าสูงมาก โดยมีผลการวิจัยพบดังนี้ ผู้ที่ติดสุราร้อยละ 51.2 มีความเครียดอยู่ในระดับสูงหรือรุนแรง ร้อยละ 48.6 มีอาการซึมเศร้าอยู่ในระดับที่ถือว่าควรจะไปพบแพทย์ ร้อยละ 11.9 มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ร้อยละ 11.3 มีความคิดอยากฆ่าผู้อื่น เด็กวัยรุ่นที่มีบิดาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง มีความเสี่ยงต่ออาการเกิดปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าเด็กวัยรุ่นที่บิดาไม่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง 11.5 เท่า มารดาวัยรุ่นที่บิดาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตมากกว่ามารดาวัยรุ่นที่บิดาไม่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง 13.5 เท่า และผู้ติดสุราส่วนใหญ่ร้อยละ 64.3 มีบิดามารดาหรือญาติที่ดื่มสุรา ปัญหาการหย่าร้างและเปลี่ยนงานในผู้ติดสุรามีแนวโน้มสูงเกินครึ่งหนึ่งของผู้ติดสุรา
จากรายงานประจำปีขององค์การอนามัยโลกปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) ที่มุ่งชี้ให้เห็นภาระโรค (disease burden) จากมุมมองความเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงพบว่า การบริโภคแอลกอฮอล์เป็นความเสี่ยงที่มีภาระโรคสูงเป็นอันดับ 5 รองจากภาวะขาดอาหาร เพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (unsafe sex) ภาวะความดันเลือดสูง การบริโภคยาสูบ โดยการบริโภคแอลกอฮอล์นำมาซึ่งการตายก่อนวัยอันควรจากอุบัติเหตุ ความรุนแรง และโรคภัยไข้เจ็บมากมายซึ่งการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญ
ผลกระทบด้านปัญหาอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
สุราเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
จากข้อมูลของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเครือข่ายเฝ้าระวังการบาดเจ็บระดับจังหวัด สำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 14 โรง ใน ปี พ.ศ. 2541 พบว่า จำนวนผู้บาดเจ็บที่ถูกทำร้ายทั้งหมด 15,714 ราย มีการเสพสุราเป็นปัจจัยร่วมถึงร้อยละ 45
จากสถิติคดีจราจรทางบกในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าจำนวนคดีอุบัติเหตุที่มีสาเหตุจากการดื่มสุราเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึงปี พ.ศ. 2547 โดยเพิ่มขึ้นคิดเป็น 5 เท่า ในเวลา 4 ปี จากจำนวน 1,811 คดี ในปี พ.ศ. 2543 เป็น 9,279 คดีในปี พ.ศ. 2547 ดังแผนภูมิที่ 1
ตัวอย่างที่ชัดเจนอาจเห็นได้จากรายงานการเฝ้าระวังการบาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุขนส่งในช่วงวันหยุดปีใหม่ พ.ศ. 2547 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าร้อยละ 72.7 ของผู้บาดเจ็บรุนแรงจำนวน 1,405 คน จากพาหนะทุกประเภทดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเกิดเหตุ และที่น่าเศร้าคือ ร้อยละ 44.2 ของผู้บาดเจ็บรุนแรงที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งสูงกว่าปี พ.ศ. 2546 ซึ่งมีร้อยละ 19.2
*******************************************
ที่มาของข้อมูล: จาก คลินิก ปีที่ 22 ฉบับที่ 1 มกราคม 2549 หน้า 7-13
แผนที่ของสมอง
แผนที่ของสมอง
โดย DMH Staffs กรมสุขภาพจิต
แผนที่ของสมอง (The Map of The Brain)
โดยทั่วไปอวัยวะทุกส่วนในร่างกายมีหน้าที่การทำงานที่เด่นชัด และส่วนใหญ่ก็ทำงานเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อวัยวะหนึ่งๆอวัยวะใดจะทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น หัวใจก็เป็นที่แน่นอนว่าทำหน้าที่ปั๊มโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย ปอดก็ทำเพียงสูดลมหายใจเข้าออก แต่สมองเป็นอวัยวะที่ดูว่าน่าจะทำหน้าที่หลายอย่างกับหลายอวัยวะ
ลักษณะทางกายภาพขนาดของสมอง สมองมีน้ำหนักเพียง 3 ปอนด์ มีลักษณะเป็นก้อนเนื่อเยื่อที่เป็นร่องๆ ไม่มีส่วนใดที่เคลื่อนไหวได้ ไม่มีรอยต่อหรือลิ้น(อย่างในเส้นเลือด) ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมระบบต่างๆของร่างกาย แต่มันเป็นเหมือนกับเราได้นั่งอยู่ในจิตใจ ความคิด ความรู้สึกสัมผัส เป็นทุกสิ่งๆทุกอย่าง ที่กล่าวว่าเรามีตับ เรามีแขนขา แต่สมองคือตัวของเรา
แนวโน้มความสนใจส่วนใหญ่ของการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ มุ่งทิศทางการศึกษาเพื่อพิสูจน์ว่า เรื่องมากมายๆต่างของจิตใจเกี่ยวข้องกับสมอง เช่น มีการพิสูจน์วัดปริมาตรของสมอง โดยยุคแรกๆนั้นเป็นการวัดขนาดสมองโดยใช้วิธีของ เอ็ม ซี เอ็ชเชอร์ คือการให้มือทั้งสองมาวาดภาพต่อกัน แต่พอถึงศตวรรษที่ 19 วิธีการดังกล่าวก็เลิกใช้ เมื่อมีการเปิดเผยทฤษฎีของนักฟิสิกซ์ชาวเยอรมันที่ชือ ฟรานซ์ โจเซฟ กอลล์ เขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเปิดเผยองค์ความรู้เรื่อง การศึกษาลักษณะจิตใจจากการวัดกะโหลกศีรษะ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "Phrenology" ในตอนที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยใหม่ๆนั้นก็เป็นที่ตื่นตัวและมีการศึกษาเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางทั้งในอังกฤษและสหรัฐมากเลยทีเดียว ทิศทางการศึกษาจิตใจและสมองก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ต่อยอดแสดงให้เห็นทิศทางที่เริ่มมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้การศึกษาเรื่องนี้ใหม่ๆหลังการเปิดเผยทฤษฎีดังกล่าวจะมีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่าศาสตร์ในเรื่องนี้มีความเป็นวิทยาศาสตร์เทียมอยู่บ้างก็ตาม
ฟรีโนโลยี (Phrenology)
Phrenology มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า จิตใจ “mind” และ ความรู้ “logos” รวมแล้วคงเป็น ความรู้ด้านจิตใจ เป็นแนวคิดทางทฤษฏีที่ได้พยายามอธิบายลักษณะเฉพาะของบุคลิกภาพที่ซ่อนอยู่ และลักษณะของความเป็นอาชญภาพบนพื้นฐานของลักษณะสรีระพื้นฐานของกระโหลกศีรษะ ถูกพัฒนาและค้นพบโดยนักฟิสิกข์ชาวเยอรมันชื่อ ฟรานซ์ โจเซฟ กอลล์ ระหว่างปี 1758-1828 เขาถือเป็นบิดาของศาสตร์ด้านฟรีโนโลยี แนวคิดนี้เป็นที่ฮือฮาและโด่งมากในศตวรรษที่ 19 (ปี 1843) ฟรานคอยซ์ แมกเจนได ได้ศึกษาต่อมาโดยกล่าวว่าการศึกษาดังกล่าวถือเป็นการศึกษาในลักษณะของ วิทยาศาสตร์เทียม อย่างไรก็ตาม phrenology ในสมัยศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นการรวมศาสตร์ทางด้าน จิตเวชศาสตร์กับประสาทวิทยา รวมกัน ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ว่าสมองเป็นอวัยวะหนึ่งของจิตใจ และแน่นอนบริเวณสมองมีหน้าที่เฉพาะ phrenologists มีความเชื่อว่าสมอง (และลักษณะกะโหลกศีรษะ) ถูกกำหนดให้จิตใจของมนุษย์เรามีความแตกต่างกัน โดยแต่ละส่วนก็มีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันด้วย
Phrenology ให้ความสำคัญในการศึกษา ลักษณะเฉพาะและบุคลิกภาพ โดยเน้นถึงการวัดและศึกษาขนาดของกะโหลกศีรษะ น้ำหนัก และรูปร่าง และรวมถึงลักษณะใบหน้าของบุคคลด้วย อย่างไรก็ตามการศึกษาในเรื่องนี้ยังได้โยงเรื่องบุคลิกภาพแฝงและสติปัญญา ที่บางคนถือว่ามีความเป็นใกล้วิทยาศาสตร์มากกว่าการอธิบายด้วยวิธีอื่นๆ
ในต้นศตวรรษที่ 20 ความตื่นตัวในทฤษฎี Phrenology เป็นตัวกระตุ้นให้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวางของวิชาอาชญวิทยา และมานุษยวิทยา การศึกษาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงนี้และที่โด่งดังมากคือ ผลงานของจิตแพทย์ชาวเมืองลอนดอลที่ชื่อ เบอร์นาร์ด ฮอลแลนเดอร์ (ระหว่างปี 1864-1934) การศึกษาของเขามุ่งเน้นไปที่เรื่องของการทำงานของจิตใจถูกกำหนดโดยสมอง (ปี 1901) และการศึกษาจิตใจจากกะโหลกศรีษะมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น (ปี 1902) โดยเขาได้รวมเอาแนวการศึกษาของกอลล์มาด้วย ฮอลแลนด์เดอร์ได้เสนอว่าการวินิจฉัยในเรื่องนี้จะต้องศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การวัดกระโหลกศรีษะที่ยึดหลักทางสถิติด้วย
นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ศึกษาไปไกลกว่านั้น มีการศึกษาจนสามารถบอกรายละเอียดของสมองได้หลากหลายมุมมอง สามารถบอกได้ว่าในสมองนั้นประกอบไปด้วยหลายส่วน และมีชื่อเฉพาะ เช่น ไฮโปธาลามัส , caudate nucleus, neocortex เป็นต้น นอกจากนี้ยังศึกษาลึกเชื่อมโยงลงไปได้อีกถึงหน้าที่การทำงานของแต่ละส่วนที่มีความแตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็มีการทำงานเชื่อมโชงกันอย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย ที่สำคัญมีรายงานการศึกษาเชิงวิจัยที่สามารถชี้ได้ว่า นี่คือความสามารถเชิงสร้างสรรค์, นี่คืออารมณ์ นี่คือเสียงพูด อีกหลายอย่าง ที่เป็นนี่และนี่และนี่ จนนับไม่ถ้วนในสิ่งที่สมองได้ปฏิบัติจนสร้างความงุนงงให้กับเรา หรือว่านี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ขอบเขตที่ศึกษา
วิชาประสาทวิทยาทำให้เราเข้าใจระบบประสาททั้งระบบที่รวมทั้งสมองเข้าไปด้วย จากมุมมองการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์และชีววิทยา วิชาจิตวิทยาทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมและสมอง ศาสตร์สาขาประสาทวิทยาและจิตเวชศาสตร์เป็นสิ่งได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อ้างอิงทางการแพทย์ของศาสตร์ทางด้านประสาทวิทยาและจิตวิทยา องค์ความรู้วิทยาศาสตร์เพื่อรวมเรื่องประสาทวิทยาและจิตวิทยาเข้าด้วยกันกับเรื่องของสมองเป็นสิ่งที่ตอบสนองซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับการอธิบายเรื่องของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กับปรัชญาเข้าไว้ด้วยกัน ฉันใดก็ฉันนั้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆที่เกิดขึ้นกับวงการวิทยาศาสตร์ในสมัยศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยีได้เปิดสมองให้เห็นเซลล์ประสาท ซึ่งไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด สมองที่เรารู้จักในปัจจุบันเป็นขุมพลังที่ควบคุมการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ อย่างไรก็ตามความไม่ชัดเจนบางอย่างที่เคยถูกมองเพียงว่าเป็นจินตนาการมาถึงบัดนี้ ในอดีตปัญหาภาวะหัวใจขาดเลือดเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถจะแก้ได้หรือมีทางแก้น้อย แต่ปัจจุบันเราสามารถป้องกันได้
เซลล์ประสาทเฉพาะบางอันที่ถูกค้นพบเป็นเสมือนกับกระจกเงาที่สะท้อนพฤติกรรมของผู้คนรอบๆตัวเรา และช่วยเราในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานบางอย่าง เช่น การเดิน การกิน หรือแม้แต่การเข้าสังคม การมีจริยธรรมของบุคคล แต่ก่อนถือเป็นความลึกลับบางอย่างกำลังจะสลายไป และได้รับการเปิดเผยให้เห็นความเป็นจริง อารมณ์ได้รับการปรุงแต่งผสมผสานกันกับประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ กำลังเป็นที่สนใจเพื่อให้สามารถอ่านจิตใจของผู้คนได้ รวมถึงเรื่องจริยธรรมของบุคคลก็มีการเฝ้าติดตามศึกษาอยู่เช่นกัน
จิตใจและสมอง (Mind and brain)
ในประเด็นของปรัชญาทางด้านจิตใจ เราไม่สามารถแยกระหว่างสมองและจิตใจออกจากกันได้ และบางครั้งยังถูกเหมารวมว่ามีความเกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำไป เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เหมือนเป็นร่างกายจิตใจ สมองคือสิ่งที่สมารถอธิบายได้โดย ภาคทางกายภาพและชีวภาพที่อยู่ในกะโหลกศีรษะ, ปฎิกิริยาตอบสนองต่างๆ, และเป็นแหล่งรวมของสารชีวเคมี อย่างไรก็ตามคำว่า จิตใจ เป็นภาพหนึ่งของคุณลักษณะทางด้านจิตประสาท เช่น ความเชื่อและความปรารถนา เป็นต้น การศึกษาเรื่องนี้ในบางศาสตร์ก็มองเรื่องของจิตใจเป็นเหมือนกับจิตวิญญาณ (soul)
ในที่สุดของเรื่องนี้ เราได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างด้านสติความสำนึกในตัวเอง เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้มอบความเป็นธรรมชาติที่จะให้เรารู้ สัมผัส กับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เป็นเหมือนกับว่าเราได้จ้องมองโลกภายนอกจากห้องควบคุมที่อยู่เบื้องหลังดวงตาเรานั่นเอง ถ้าเราสามารถแยกแยะออกว่านี่เป็นแก่นของความรู้ เราก็จะสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่เราต้องไม่หลบลี้หนีหน้า เราควรจะซึมซับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราให้ได้ต่างหาก ความเป็นมนุษย์มักจะไม่พอเพียงสำหรับคำถามที่บางทีก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบ สุดท้ายแล้วก็พยายามไขว่คว้าเพื่อหาในสิ่งที่เราไม่รู้เพื่อจะใช้เป็นแนวทางในการศึกษาให้รู้อย่างช้าๆก็ได้
************************************
อ้างอิง
1. http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,1580416,00.html
2. http://en.wikipedia.org/wiki/Phrenology
3. http://en.wikipedia.org/wiki/Brain
โดย DMH Staffs กรมสุขภาพจิต
แผนที่ของสมอง (The Map of The Brain)
โดยทั่วไปอวัยวะทุกส่วนในร่างกายมีหน้าที่การทำงานที่เด่นชัด และส่วนใหญ่ก็ทำงานเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อวัยวะหนึ่งๆอวัยวะใดจะทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น หัวใจก็เป็นที่แน่นอนว่าทำหน้าที่ปั๊มโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย ปอดก็ทำเพียงสูดลมหายใจเข้าออก แต่สมองเป็นอวัยวะที่ดูว่าน่าจะทำหน้าที่หลายอย่างกับหลายอวัยวะ
ลักษณะทางกายภาพขนาดของสมอง สมองมีน้ำหนักเพียง 3 ปอนด์ มีลักษณะเป็นก้อนเนื่อเยื่อที่เป็นร่องๆ ไม่มีส่วนใดที่เคลื่อนไหวได้ ไม่มีรอยต่อหรือลิ้น(อย่างในเส้นเลือด) ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมระบบต่างๆของร่างกาย แต่มันเป็นเหมือนกับเราได้นั่งอยู่ในจิตใจ ความคิด ความรู้สึกสัมผัส เป็นทุกสิ่งๆทุกอย่าง ที่กล่าวว่าเรามีตับ เรามีแขนขา แต่สมองคือตัวของเรา
แนวโน้มความสนใจส่วนใหญ่ของการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ มุ่งทิศทางการศึกษาเพื่อพิสูจน์ว่า เรื่องมากมายๆต่างของจิตใจเกี่ยวข้องกับสมอง เช่น มีการพิสูจน์วัดปริมาตรของสมอง โดยยุคแรกๆนั้นเป็นการวัดขนาดสมองโดยใช้วิธีของ เอ็ม ซี เอ็ชเชอร์ คือการให้มือทั้งสองมาวาดภาพต่อกัน แต่พอถึงศตวรรษที่ 19 วิธีการดังกล่าวก็เลิกใช้ เมื่อมีการเปิดเผยทฤษฎีของนักฟิสิกซ์ชาวเยอรมันที่ชือ ฟรานซ์ โจเซฟ กอลล์ เขาประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเปิดเผยองค์ความรู้เรื่อง การศึกษาลักษณะจิตใจจากการวัดกะโหลกศีรษะ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "Phrenology" ในตอนที่เรื่องนี้ถูกเปิดเผยใหม่ๆนั้นก็เป็นที่ตื่นตัวและมีการศึกษาเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางทั้งในอังกฤษและสหรัฐมากเลยทีเดียว ทิศทางการศึกษาจิตใจและสมองก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ต่อยอดแสดงให้เห็นทิศทางที่เริ่มมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้การศึกษาเรื่องนี้ใหม่ๆหลังการเปิดเผยทฤษฎีดังกล่าวจะมีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่าศาสตร์ในเรื่องนี้มีความเป็นวิทยาศาสตร์เทียมอยู่บ้างก็ตาม
ฟรีโนโลยี (Phrenology)
Phrenology มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า จิตใจ “mind” และ ความรู้ “logos” รวมแล้วคงเป็น ความรู้ด้านจิตใจ เป็นแนวคิดทางทฤษฏีที่ได้พยายามอธิบายลักษณะเฉพาะของบุคลิกภาพที่ซ่อนอยู่ และลักษณะของความเป็นอาชญภาพบนพื้นฐานของลักษณะสรีระพื้นฐานของกระโหลกศีรษะ ถูกพัฒนาและค้นพบโดยนักฟิสิกข์ชาวเยอรมันชื่อ ฟรานซ์ โจเซฟ กอลล์ ระหว่างปี 1758-1828 เขาถือเป็นบิดาของศาสตร์ด้านฟรีโนโลยี แนวคิดนี้เป็นที่ฮือฮาและโด่งมากในศตวรรษที่ 19 (ปี 1843) ฟรานคอยซ์ แมกเจนได ได้ศึกษาต่อมาโดยกล่าวว่าการศึกษาดังกล่าวถือเป็นการศึกษาในลักษณะของ วิทยาศาสตร์เทียม อย่างไรก็ตาม phrenology ในสมัยศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นการรวมศาสตร์ทางด้าน จิตเวชศาสตร์กับประสาทวิทยา รวมกัน ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ว่าสมองเป็นอวัยวะหนึ่งของจิตใจ และแน่นอนบริเวณสมองมีหน้าที่เฉพาะ phrenologists มีความเชื่อว่าสมอง (และลักษณะกะโหลกศีรษะ) ถูกกำหนดให้จิตใจของมนุษย์เรามีความแตกต่างกัน โดยแต่ละส่วนก็มีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกันด้วย
Phrenology ให้ความสำคัญในการศึกษา ลักษณะเฉพาะและบุคลิกภาพ โดยเน้นถึงการวัดและศึกษาขนาดของกะโหลกศีรษะ น้ำหนัก และรูปร่าง และรวมถึงลักษณะใบหน้าของบุคคลด้วย อย่างไรก็ตามการศึกษาในเรื่องนี้ยังได้โยงเรื่องบุคลิกภาพแฝงและสติปัญญา ที่บางคนถือว่ามีความเป็นใกล้วิทยาศาสตร์มากกว่าการอธิบายด้วยวิธีอื่นๆ
ในต้นศตวรรษที่ 20 ความตื่นตัวในทฤษฎี Phrenology เป็นตัวกระตุ้นให้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวางของวิชาอาชญวิทยา และมานุษยวิทยา การศึกษาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงนี้และที่โด่งดังมากคือ ผลงานของจิตแพทย์ชาวเมืองลอนดอลที่ชื่อ เบอร์นาร์ด ฮอลแลนเดอร์ (ระหว่างปี 1864-1934) การศึกษาของเขามุ่งเน้นไปที่เรื่องของการทำงานของจิตใจถูกกำหนดโดยสมอง (ปี 1901) และการศึกษาจิตใจจากกะโหลกศรีษะมีความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น (ปี 1902) โดยเขาได้รวมเอาแนวการศึกษาของกอลล์มาด้วย ฮอลแลนด์เดอร์ได้เสนอว่าการวินิจฉัยในเรื่องนี้จะต้องศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การวัดกระโหลกศรีษะที่ยึดหลักทางสถิติด้วย
นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ศึกษาไปไกลกว่านั้น มีการศึกษาจนสามารถบอกรายละเอียดของสมองได้หลากหลายมุมมอง สามารถบอกได้ว่าในสมองนั้นประกอบไปด้วยหลายส่วน และมีชื่อเฉพาะ เช่น ไฮโปธาลามัส , caudate nucleus, neocortex เป็นต้น นอกจากนี้ยังศึกษาลึกเชื่อมโยงลงไปได้อีกถึงหน้าที่การทำงานของแต่ละส่วนที่มีความแตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็มีการทำงานเชื่อมโชงกันอย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย ที่สำคัญมีรายงานการศึกษาเชิงวิจัยที่สามารถชี้ได้ว่า นี่คือความสามารถเชิงสร้างสรรค์, นี่คืออารมณ์ นี่คือเสียงพูด อีกหลายอย่าง ที่เป็นนี่และนี่และนี่ จนนับไม่ถ้วนในสิ่งที่สมองได้ปฏิบัติจนสร้างความงุนงงให้กับเรา หรือว่านี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ขอบเขตที่ศึกษา
วิชาประสาทวิทยาทำให้เราเข้าใจระบบประสาททั้งระบบที่รวมทั้งสมองเข้าไปด้วย จากมุมมองการคาดการณ์ทางวิทยาศาสตร์และชีววิทยา วิชาจิตวิทยาทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมและสมอง ศาสตร์สาขาประสาทวิทยาและจิตเวชศาสตร์เป็นสิ่งได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อ้างอิงทางการแพทย์ของศาสตร์ทางด้านประสาทวิทยาและจิตวิทยา องค์ความรู้วิทยาศาสตร์เพื่อรวมเรื่องประสาทวิทยาและจิตวิทยาเข้าด้วยกันกับเรื่องของสมองเป็นสิ่งที่ตอบสนองซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกับการอธิบายเรื่องของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กับปรัชญาเข้าไว้ด้วยกัน ฉันใดก็ฉันนั้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆที่เกิดขึ้นกับวงการวิทยาศาสตร์ในสมัยศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยีได้เปิดสมองให้เห็นเซลล์ประสาท ซึ่งไม่เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด สมองที่เรารู้จักในปัจจุบันเป็นขุมพลังที่ควบคุมการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ อย่างไรก็ตามความไม่ชัดเจนบางอย่างที่เคยถูกมองเพียงว่าเป็นจินตนาการมาถึงบัดนี้ ในอดีตปัญหาภาวะหัวใจขาดเลือดเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถจะแก้ได้หรือมีทางแก้น้อย แต่ปัจจุบันเราสามารถป้องกันได้
เซลล์ประสาทเฉพาะบางอันที่ถูกค้นพบเป็นเสมือนกับกระจกเงาที่สะท้อนพฤติกรรมของผู้คนรอบๆตัวเรา และช่วยเราในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานบางอย่าง เช่น การเดิน การกิน หรือแม้แต่การเข้าสังคม การมีจริยธรรมของบุคคล แต่ก่อนถือเป็นความลึกลับบางอย่างกำลังจะสลายไป และได้รับการเปิดเผยให้เห็นความเป็นจริง อารมณ์ได้รับการปรุงแต่งผสมผสานกันกับประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ กำลังเป็นที่สนใจเพื่อให้สามารถอ่านจิตใจของผู้คนได้ รวมถึงเรื่องจริยธรรมของบุคคลก็มีการเฝ้าติดตามศึกษาอยู่เช่นกัน
จิตใจและสมอง (Mind and brain)
ในประเด็นของปรัชญาทางด้านจิตใจ เราไม่สามารถแยกระหว่างสมองและจิตใจออกจากกันได้ และบางครั้งยังถูกเหมารวมว่ามีความเกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำไป เป็นปัญหาที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เหมือนเป็นร่างกายจิตใจ สมองคือสิ่งที่สมารถอธิบายได้โดย ภาคทางกายภาพและชีวภาพที่อยู่ในกะโหลกศีรษะ, ปฎิกิริยาตอบสนองต่างๆ, และเป็นแหล่งรวมของสารชีวเคมี อย่างไรก็ตามคำว่า จิตใจ เป็นภาพหนึ่งของคุณลักษณะทางด้านจิตประสาท เช่น ความเชื่อและความปรารถนา เป็นต้น การศึกษาเรื่องนี้ในบางศาสตร์ก็มองเรื่องของจิตใจเป็นเหมือนกับจิตวิญญาณ (soul)
ในที่สุดของเรื่องนี้ เราได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างด้านสติความสำนึกในตัวเอง เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้มอบความเป็นธรรมชาติที่จะให้เรารู้ สัมผัส กับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เป็นเหมือนกับว่าเราได้จ้องมองโลกภายนอกจากห้องควบคุมที่อยู่เบื้องหลังดวงตาเรานั่นเอง ถ้าเราสามารถแยกแยะออกว่านี่เป็นแก่นของความรู้ เราก็จะสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่เราต้องไม่หลบลี้หนีหน้า เราควรจะซึมซับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราให้ได้ต่างหาก ความเป็นมนุษย์มักจะไม่พอเพียงสำหรับคำถามที่บางทีก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบ สุดท้ายแล้วก็พยายามไขว่คว้าเพื่อหาในสิ่งที่เราไม่รู้เพื่อจะใช้เป็นแนวทางในการศึกษาให้รู้อย่างช้าๆก็ได้
************************************
อ้างอิง
1. http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,1580416,00.html
2. http://en.wikipedia.org/wiki/Phrenology
3. http://en.wikipedia.org/wiki/Brain
โรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น
ศจ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
มีเด็กจำนวนหนึ่งที่มีระดับสติปัญญาปกติ พ่อแม่และครูจะมีความเห็นตรงกันว่าเป็นคนฉลาด แต่เด็กเรียนหนังสือไม่ได้ สอบตกหลายวิชา ต้องสอบซ่อมเทอมละ 4-5 วิชา ผู้ใหญ่จะเข้าใจว่าเด็กนั้นไม่สนใจเรียน ไม่ตั้งใจเรียน เวลาอยู่ในห้อง ชอบพูดชอบคุย นั่งไม่นิ่ง บางคนจะเหม่อลอยไม่ฟังครู งานในห้องมักทำไม่เสร็จ การบ้านไม่ทำและไม่ส่งหรือทำไม่เสร็จ เด็กมักลืมทำในสิ่งต่างๆ ที่ถูกมอบหมายให้ทำ พ่อแม่จะรู้สึกเครียดมากถ้าต้องคุมให้ลูกทำการบ้าน เพราะจะใช้เวลานานมากในการทำการบ้าน เช่น ควรใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงลูกกลับใช้เวลาถึง 3-4 ชั่วโมง เป็นต้น เด็กเหล่านี้มีความผิดปกติที่ทางการแพทย์ เรียกว่า โรคสมาธิสั้น บางครั้งจะมีคนเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็นเด็กไฮเปอแอคทีฟ
โรคสมาธิสั้น จะมีลักษณะอาการดังนี้
1. อาการสมาธิสั้น มักสามารถเห็นได้ในเกือบทุกสถานที่ เช่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่สังคม ในห้องตรวจของแพทย์ แต่ความรุนแรงของอาการอาจแสดงออกไม่เท่ากันในแต่ละสถานที่ และบางคนอาจจะมีอาการแสดงให้เห็นเฉพาะบางสถานที่เท่านั้น เช่น ที่โรงเรียน เพราะที่โรงเรียนอาจเป็นภาวะที่เด็กต้องมีสมาธิ ฉะนั้นเด็กอาจไม่สามารถทำงานที่ครูสั่งติดต่อกันได้นานเท่าเด็กอื่นๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน เด็กอาจทำงานไม่เสร็จตามเวลากำหนดหรือทำเสร็จอย่างรีบๆ ผิดพลาดมาก สกปรก ไม่ประณีต อยู่บ้านเด็กอาจแสดงออกโดยไม่สามารถทำตามที่สั่งได้ เช่น เล่นของเล่นแล้วไม่เก็บ เปิดลิ้นชักแล้วไม่ปิด เพราะทำยังไม่ทันจบ กิจกรรมหนึ่งก็เสียสมาธิเปลี่ยนไปอย่างอื่น ก็เลยไปทำกิจกรรมอื่นเสียเวลา ลืมกิจกรรมเดิมที่ทำค้างไว้ ผู้ใหญ่มักเข้าใจว่าเด็กไม่สนใจอะไรจริงจัง ขี้ลืม ดื้อ สอนไม่จำ ไม่มีระเบียบ ไม่รับผิดชอบ และอื่นๆ เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เด็กอาจแสดงอาการสมาธิสั้น โดยไม่มีความอดทนที่จะทำตามกติกาการเล่น เพื่อนพูดก็ไม่ฟัง เป็นต้น
2. อาการหุนหันพลันแล่น ที่โรงเรียนอาการจะแสดงออก โดยการรีบตอบคำถามทั้งๆ ที่ครูถามยังไม่ทันจบ เด็กจะคอยตามคิวไม่ได้ในการทำกิจกรรม บางครั้งก็รีบตอบแทรกเมื่อเพื่อนยังตอบครูไม่จบ เป็นต้น เวลาอยู่บ้านเด็กอาจแสดงความหุนหันพลันแล่นโดยจะรบกวนผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ เช่น แหย่รบกวนพี่หรือน้องบ่อยๆ เวลาต้องการใช้ของผู้อื่นก็หยิบมาเลย โดยไม่ดูว่าเขาใช้เสร็จหรือยังโดยที่เด็กไม่มีเจตนาจะละเมิดสิทธิ หรือเสียมารยาท แต่เป็นเพราะเด็กนึกจะทำอะไรก็ทำเลย โดยไม่ได้ยั้งคิดเสียก่อน
3. อาการอยู่ไม่นิ่งหรือซนผิดปกติ เด็กอาจมีอาการนั่งไม่ติดที่ ลุกจากที่นั่งบ่อยๆ เด็กเล็กบางคนอาจวิ่งในห้องเรียน บางคนอาจนั่งไม่นิ่งในที่ของตนโดยจะทำอะไรอยู่เกือบตลอดเวลา เช่น เอาของมาหมุนเล่น จับเล่น เคาะโน่น จับนี่ไม่ได้หยุด นั่งโยกเก้าอี้ กัดดินสอ เขียนการ์ตูนในหนังสือหรือสมุด เวลาอยู่บ้านก็อาจมีลักษณะคล้ายๆ กัน เช่น นั่งไม่นิ่ง เวลารับประทานอาหาร เวลาดูทีวี เวลาทำการบ้าน ถ้าเวลาจำเป็นที่ต้องอยู่กับที่ก็ขยับตัวตลอดเวลา เวลามาหาแพทย์จะนั่งคอยไม่ได้ จะเดินไปเดินมา แม้กระทั่ง เวลานอนเด็กบางคนจะนอนดิ้นมากทั้งคืน บางคนก็แสดงออก โดยการพูดมากกว่าปกติ บางคนก็กินไม่หยุดจนอ้วน การอยู่ไม่นิ่ง เคลื่อนไหวมากเห็นชัดในเด็กก่อนวัยเรียน ในเด็กโตหรือวัยรุ่นอาจเห็นอาการเพียงยุกยิกกระวนกระวายเท่านั้นที่เหลืออยู่ให้เห็น
พฤติกรรมแต่ละอย่างที่กล่าวมา อาจพบได้ในเด็กปกติ จะเป็นความผิดปกติเมื่อมีพฤติกรรมที่รุนแรง ไม่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ไม่เหมาะสมกับสถานที่ เช่น ในห้องเรียนไม่ใช่ในสนามเด็กเล่น และมีอาการสม่ำเสมอ และพฤติกรรมนั้นรบกวนผู้อื่นด้วย หรือมีพฤติกรรมผิดปกติมากจนรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กเอง เช่น ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ บางครั้งเด็กสมาธิสั้นอาจมีสมาธิได้ยาวนาน เฉพาะในเรื่องที่เด็กสนใจมาก เช่น วีดีโอเกมส์ การต่อของเล่นบางอย่าง เป็นต้น
เด็กที่อยู่ไม่สุข อยู่ไม่นิ่ง ไม่ใช่จะเป็นโรคสมาธิสั้นทุกคน เพราะต้องแยกอีกว่าเกิดจากภาวะอื่นๆ หรือไม่ มีสภาวะที่ปกติและผิดปกติหลายอย่างที่อาจมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้น และอาการที่เห็นบางครั้งก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโรคอื่น เช่น
1. เด็กปกติที่ค่อนข้างซน เด็กบางคนที่พละกำลังมาก ซนมาก ชอบทำอะไรๆ อยู่เสมอๆ ไม่ชอบอยู่เฉยๆ แต่การกระทำ จะไม่สะเปะสะปะ ขาดการวางแผนแบบเด็กเป็นโรคสมาธิสั้น
2. เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ยุ่งเหยิง ขาดระเบียบแบบแผนมากๆ ทำให้เด็กมีความยากลำบากที่จะมีสมาธิ เพราะเด็กถูกกระตุ้นมากเกินไป
3. เด็กที่ถูกตามใจมาก ทำให้ขาดระเบียบวินัย และขาดการควบคุมตัวเอง ทำให้มองดูเหมือนเด็กสมาธิสั้นได้
4. เด็กปัญญาอ่อน เด็กมีสมองที่มีการพัฒนาช้า ฉะนั้นจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นต่อเมื่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามอายุสมองของเด็กเท่านั้น
5. โรคจิตในวัยเด็ก เด็กที่มีโรคจิตอาจมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นได้ เพราะอาจมีอาการกระวนกระวายหรือกระสับกระส่าย
6. โรคทางอารมณ์และวิตกกังวล อาจมีอาการแสดงคล้ายโรคสมาธิสั้นได้ แต่จะมีประวัติว่ามามีอาการทีหลังคือเด็กจะเป็นเด็กปกติมาก่อนการเกิดโรคทางอารมณ์และวิตกกังวล และอาจพบสาเหตุกระตุ้น เช่น พ่อแม่เลิกกัน ส่วนโรคสมาธิสั้นมักเป็นมาตั้งแต่วัยเด็กเล็ก
การรักษาโรคสมาธิสั้น
1. การรักษาด้วยยา
โรคสมาธิสั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความผิดปกติของสมองเป็นความบกพร่องทางสรีระวิทยา การใช้ยารักษาจึงให้ผลค่อนข้างดีมาก เป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลาย ยาที่ใช้บ่อยๆ จะเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย
ถ้ายาได้ผลสำหรับเด็ก ยาจะช่วยให้เด็กเรียนได้เต็มความสามารถ ไม่ล้มเหลวในการเรียน ลดปัญหาทางสังคม ทำให้เด็กไม่เสียความรู้สึกที่ดีต่อตนเองจากการถูกตำหนิติเตียนมากมาย
การใช้ยาอาจหยุดได้ช่วงวันเสาร์-วันอาทิตย์ และปิดเทอมพอเปิดเทอมใหม่ ถ้าเด็กยังมีปัญหาเดิมจะยังใช้ได้อีก เด็กบางคนเมื่อโตขึ้นจะมีอาการดีขึ้น อาจหยุดยาได้ แต่ตราบใดที่ยายังจำเป็นและมีประโยชน์กับเด็กอยู่ก็สามารถใช้ไดต่อไป พ่อแม่และครูไม่ควรต่อต้านการใช้ยาในโรคนี้ของลูก เพราะต้องคิดเปรียบเทียบเหมือนกับลูกเกิดมามีสายตาสั้น แล้วจำเป็นต้องใส่แว่นตา เพื่อให้มองเห็นเป็นปกติ แต่แว่นตานั้นมีมานานผู้ใหญ่จึงมักไม่ต่อต้านการใช้แว่นตากับลูก แต่เรื่องยารักษาโรคสมาธิสั้นเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ คนยังรู้จักน้อย จึงอาจไม่เข้าใจและอาจต่อต้านการใช้ยาได้
2. การรักษาด้านอื่นๆ นอกเหนือจากยา การช่วยเด็กด้านอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการของเด็ก ผู้ใหญ่เข้าใจว่าเด็กดื้อ แกล้งทำ เด็กจะถูกดุว่ามากจนเด็กอาจเสียความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง จึงควรได้รับการแก้ไขดังนี้
- อธิบายให้เด็ก พ่อแม่ ครูทุกคนเข้าใจปัญหาว่าเกิดจากอะไร
- แก้ไขปัญหาการเรียน เด็กมักมีปัญหาการเรียนจากโรคที่เป็น ต้องช่วยเหลือเด็กให้สามารถเรียนได้ เช่น แก้ไขสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และที่โรงเรียน เช่น ให้มีสภาพที่มีสิ่งกระตุ้นเด็กให้น้อยลง เช่น นั่งใกล้ครู อยู่ห้องเรียนที่ไกลจากเสียงรบกวนของรถยนต์ มีการสอนเสริมโดยครูพิเศษ มีที่เป็นสัดส่วนให้เด็กทำการบ้าน ไม่เปิดทีวีขณะเด็กทำการบ้าน เป็นต้น ยกเว้น เด็กบางคนกลับต้องการเสียงดนตรีเบาๆ ช่วงระหว่างทำงานและจะมีสมาธิดีกว่าบรรยากาศที่เงียบเกินไป
- การช่วยเหลือเด็กโดยตรง ถ้าเด็กมีปัญหามานาน ถูกทำโทษมากด้วยความเข้าใจผิด แพทย์ต้องช่วยแก้ความรู้สึกที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กโดยตรง บางครั้งเด็กไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ก็ต้องช่วยแนะนำ ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ
- พ่อแม่ และครูเป็นที่ปรึกษาให้ระหว่างการเรียน ปัญหาอาจไม่หมดไปง่ายๆ ต้องติดตามช่วยเหลือไปจนแน่ใจว่าทุกคนปรับตัวกับปัญหาได้
ข้อแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ในการอยู่กับเด็กสมาธิสั้น
1. เข้าใจเด็ก
- เป็นธรรมชาติของเขาที่เกิดมาเป็นอย่างนั้นเอง
- เด็กไม่ได้แกล้ง
- ไม่ใช่นิสัยไม่ดี
- ไม่ใช่เด็กดื้อ หรือไม่อดทน
- ไม่ใช่สอนไม่จำ
- ไม่ใช่ไม่มีความรับผิดชอบ
2. หลีกเลี่ยงการตำหนิ-ต่อว่า เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นผลของสมาธิสั้นหรืออยู่ไม่นิ่ง เพราะไม่ช่วยให้เขาดีขึ้น แต่กลับทำลายความรู้สึกของเด็กอย่างมาก
3. ช่วยเด็กคิดวิธีแก้ไขจุดอ่อน เช่น จะแก้การลืมอย่างไร อาจจะใช้วิธีจด ใช้วิธีเอาของที่ต้องใช้จัดรวมกันเพื่อกันลืม
4. ช่วยให้เด็กใช้พลังงาน ไปในทางสร้างสรรค์ มีกิจกรรมให้เด็กสามารถทำได้ เช่น
- กีฬา, ดนตรี, คอมพิวเตอร์
- ช่วยครูที่โรงเรียนทำงาน เช่น แจกสมุด ลบกระดาน
- ช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน
5. จัดสิ่งแวดล้อมของบ้าน
- ถ้าเด็กยังเล็กอยู่ให้เก็บของแตกให้พ้นมือเด็ก
- มีเนื้อที่ให้เด็กใช้ส่วนตัวสำหรับเล่นและทำการบ้าน
ดังที่กล่าวแล้วคือเด็กบางคนต้องการที่เงียบๆ เพื่อช่วยเพิ่มสมาธิ เด็กบางคนกลับต้องการมีเสียงดนตรีเบาๆ ฟังไปด้วยจะช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น
6. แบ่งช่วงเวลาการทำงาน เป็นช่วงสั้นลง เท่ากับที่เด็กสามารถมีสมาธิทำได้ คือให้เด็กมีเวลาพักเป็นช่วงๆ
อย่างไรก็ตามพ่อแม่ควรได้รับความเห็นใจและพ่อแม่ควรรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง เพราะการเลี้ยงเด็กปกติก็เป็นเรื่องเหนื่อยอยู่แล้ว การเลี้ยงดูลูกสมาธิสั้นนั้น เหนื่อยยิ่งกว่าหลายเท่าตัว ดังนั้นถ้าพ่อแม่สามารถหาคนมาช่วยแบ่งเบาภาระไปได้ในบางช่วง และมีเวลาทำอะไรที่พ่อแม่อยากทำบ้าง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่พ่อแม่สมควรจะได้รับบ้าง.
เอกสารอ้างอิง: นงพงา ลิ้มสุวรรณ. เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข, เรื่องสำคัญและน่ารู้สำหรับพ่อแม่. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: พริ้นติ้งเพลส. 2542. หน้า 189-196.
Posted by DMH Staff.
************************************************************
ศจ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
มีเด็กจำนวนหนึ่งที่มีระดับสติปัญญาปกติ พ่อแม่และครูจะมีความเห็นตรงกันว่าเป็นคนฉลาด แต่เด็กเรียนหนังสือไม่ได้ สอบตกหลายวิชา ต้องสอบซ่อมเทอมละ 4-5 วิชา ผู้ใหญ่จะเข้าใจว่าเด็กนั้นไม่สนใจเรียน ไม่ตั้งใจเรียน เวลาอยู่ในห้อง ชอบพูดชอบคุย นั่งไม่นิ่ง บางคนจะเหม่อลอยไม่ฟังครู งานในห้องมักทำไม่เสร็จ การบ้านไม่ทำและไม่ส่งหรือทำไม่เสร็จ เด็กมักลืมทำในสิ่งต่างๆ ที่ถูกมอบหมายให้ทำ พ่อแม่จะรู้สึกเครียดมากถ้าต้องคุมให้ลูกทำการบ้าน เพราะจะใช้เวลานานมากในการทำการบ้าน เช่น ควรใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงลูกกลับใช้เวลาถึง 3-4 ชั่วโมง เป็นต้น เด็กเหล่านี้มีความผิดปกติที่ทางการแพทย์ เรียกว่า โรคสมาธิสั้น บางครั้งจะมีคนเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเป็นเด็กไฮเปอแอคทีฟ
โรคสมาธิสั้น จะมีลักษณะอาการดังนี้
1. อาการสมาธิสั้น มักสามารถเห็นได้ในเกือบทุกสถานที่ เช่น ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่สังคม ในห้องตรวจของแพทย์ แต่ความรุนแรงของอาการอาจแสดงออกไม่เท่ากันในแต่ละสถานที่ และบางคนอาจจะมีอาการแสดงให้เห็นเฉพาะบางสถานที่เท่านั้น เช่น ที่โรงเรียน เพราะที่โรงเรียนอาจเป็นภาวะที่เด็กต้องมีสมาธิ ฉะนั้นเด็กอาจไม่สามารถทำงานที่ครูสั่งติดต่อกันได้นานเท่าเด็กอื่นๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน เด็กอาจทำงานไม่เสร็จตามเวลากำหนดหรือทำเสร็จอย่างรีบๆ ผิดพลาดมาก สกปรก ไม่ประณีต อยู่บ้านเด็กอาจแสดงออกโดยไม่สามารถทำตามที่สั่งได้ เช่น เล่นของเล่นแล้วไม่เก็บ เปิดลิ้นชักแล้วไม่ปิด เพราะทำยังไม่ทันจบ กิจกรรมหนึ่งก็เสียสมาธิเปลี่ยนไปอย่างอื่น ก็เลยไปทำกิจกรรมอื่นเสียเวลา ลืมกิจกรรมเดิมที่ทำค้างไว้ ผู้ใหญ่มักเข้าใจว่าเด็กไม่สนใจอะไรจริงจัง ขี้ลืม ดื้อ สอนไม่จำ ไม่มีระเบียบ ไม่รับผิดชอบ และอื่นๆ เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เด็กอาจแสดงอาการสมาธิสั้น โดยไม่มีความอดทนที่จะทำตามกติกาการเล่น เพื่อนพูดก็ไม่ฟัง เป็นต้น
2. อาการหุนหันพลันแล่น ที่โรงเรียนอาการจะแสดงออก โดยการรีบตอบคำถามทั้งๆ ที่ครูถามยังไม่ทันจบ เด็กจะคอยตามคิวไม่ได้ในการทำกิจกรรม บางครั้งก็รีบตอบแทรกเมื่อเพื่อนยังตอบครูไม่จบ เป็นต้น เวลาอยู่บ้านเด็กอาจแสดงความหุนหันพลันแล่นโดยจะรบกวนผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ เช่น แหย่รบกวนพี่หรือน้องบ่อยๆ เวลาต้องการใช้ของผู้อื่นก็หยิบมาเลย โดยไม่ดูว่าเขาใช้เสร็จหรือยังโดยที่เด็กไม่มีเจตนาจะละเมิดสิทธิ หรือเสียมารยาท แต่เป็นเพราะเด็กนึกจะทำอะไรก็ทำเลย โดยไม่ได้ยั้งคิดเสียก่อน
3. อาการอยู่ไม่นิ่งหรือซนผิดปกติ เด็กอาจมีอาการนั่งไม่ติดที่ ลุกจากที่นั่งบ่อยๆ เด็กเล็กบางคนอาจวิ่งในห้องเรียน บางคนอาจนั่งไม่นิ่งในที่ของตนโดยจะทำอะไรอยู่เกือบตลอดเวลา เช่น เอาของมาหมุนเล่น จับเล่น เคาะโน่น จับนี่ไม่ได้หยุด นั่งโยกเก้าอี้ กัดดินสอ เขียนการ์ตูนในหนังสือหรือสมุด เวลาอยู่บ้านก็อาจมีลักษณะคล้ายๆ กัน เช่น นั่งไม่นิ่ง เวลารับประทานอาหาร เวลาดูทีวี เวลาทำการบ้าน ถ้าเวลาจำเป็นที่ต้องอยู่กับที่ก็ขยับตัวตลอดเวลา เวลามาหาแพทย์จะนั่งคอยไม่ได้ จะเดินไปเดินมา แม้กระทั่ง เวลานอนเด็กบางคนจะนอนดิ้นมากทั้งคืน บางคนก็แสดงออก โดยการพูดมากกว่าปกติ บางคนก็กินไม่หยุดจนอ้วน การอยู่ไม่นิ่ง เคลื่อนไหวมากเห็นชัดในเด็กก่อนวัยเรียน ในเด็กโตหรือวัยรุ่นอาจเห็นอาการเพียงยุกยิกกระวนกระวายเท่านั้นที่เหลืออยู่ให้เห็น
พฤติกรรมแต่ละอย่างที่กล่าวมา อาจพบได้ในเด็กปกติ จะเป็นความผิดปกติเมื่อมีพฤติกรรมที่รุนแรง ไม่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ไม่เหมาะสมกับสถานที่ เช่น ในห้องเรียนไม่ใช่ในสนามเด็กเล่น และมีอาการสม่ำเสมอ และพฤติกรรมนั้นรบกวนผู้อื่นด้วย หรือมีพฤติกรรมผิดปกติมากจนรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กเอง เช่น ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ บางครั้งเด็กสมาธิสั้นอาจมีสมาธิได้ยาวนาน เฉพาะในเรื่องที่เด็กสนใจมาก เช่น วีดีโอเกมส์ การต่อของเล่นบางอย่าง เป็นต้น
เด็กที่อยู่ไม่สุข อยู่ไม่นิ่ง ไม่ใช่จะเป็นโรคสมาธิสั้นทุกคน เพราะต้องแยกอีกว่าเกิดจากภาวะอื่นๆ หรือไม่ มีสภาวะที่ปกติและผิดปกติหลายอย่างที่อาจมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้น และอาการที่เห็นบางครั้งก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโรคอื่น เช่น
1. เด็กปกติที่ค่อนข้างซน เด็กบางคนที่พละกำลังมาก ซนมาก ชอบทำอะไรๆ อยู่เสมอๆ ไม่ชอบอยู่เฉยๆ แต่การกระทำ จะไม่สะเปะสะปะ ขาดการวางแผนแบบเด็กเป็นโรคสมาธิสั้น
2. เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ยุ่งเหยิง ขาดระเบียบแบบแผนมากๆ ทำให้เด็กมีความยากลำบากที่จะมีสมาธิ เพราะเด็กถูกกระตุ้นมากเกินไป
3. เด็กที่ถูกตามใจมาก ทำให้ขาดระเบียบวินัย และขาดการควบคุมตัวเอง ทำให้มองดูเหมือนเด็กสมาธิสั้นได้
4. เด็กปัญญาอ่อน เด็กมีสมองที่มีการพัฒนาช้า ฉะนั้นจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้นต่อเมื่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมตามอายุสมองของเด็กเท่านั้น
5. โรคจิตในวัยเด็ก เด็กที่มีโรคจิตอาจมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นได้ เพราะอาจมีอาการกระวนกระวายหรือกระสับกระส่าย
6. โรคทางอารมณ์และวิตกกังวล อาจมีอาการแสดงคล้ายโรคสมาธิสั้นได้ แต่จะมีประวัติว่ามามีอาการทีหลังคือเด็กจะเป็นเด็กปกติมาก่อนการเกิดโรคทางอารมณ์และวิตกกังวล และอาจพบสาเหตุกระตุ้น เช่น พ่อแม่เลิกกัน ส่วนโรคสมาธิสั้นมักเป็นมาตั้งแต่วัยเด็กเล็ก
การรักษาโรคสมาธิสั้น
1. การรักษาด้วยยา
โรคสมาธิสั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความผิดปกติของสมองเป็นความบกพร่องทางสรีระวิทยา การใช้ยารักษาจึงให้ผลค่อนข้างดีมาก เป็นวิธีที่ใช้กันแพร่หลาย ยาที่ใช้บ่อยๆ จะเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย
ถ้ายาได้ผลสำหรับเด็ก ยาจะช่วยให้เด็กเรียนได้เต็มความสามารถ ไม่ล้มเหลวในการเรียน ลดปัญหาทางสังคม ทำให้เด็กไม่เสียความรู้สึกที่ดีต่อตนเองจากการถูกตำหนิติเตียนมากมาย
การใช้ยาอาจหยุดได้ช่วงวันเสาร์-วันอาทิตย์ และปิดเทอมพอเปิดเทอมใหม่ ถ้าเด็กยังมีปัญหาเดิมจะยังใช้ได้อีก เด็กบางคนเมื่อโตขึ้นจะมีอาการดีขึ้น อาจหยุดยาได้ แต่ตราบใดที่ยายังจำเป็นและมีประโยชน์กับเด็กอยู่ก็สามารถใช้ไดต่อไป พ่อแม่และครูไม่ควรต่อต้านการใช้ยาในโรคนี้ของลูก เพราะต้องคิดเปรียบเทียบเหมือนกับลูกเกิดมามีสายตาสั้น แล้วจำเป็นต้องใส่แว่นตา เพื่อให้มองเห็นเป็นปกติ แต่แว่นตานั้นมีมานานผู้ใหญ่จึงมักไม่ต่อต้านการใช้แว่นตากับลูก แต่เรื่องยารักษาโรคสมาธิสั้นเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ คนยังรู้จักน้อย จึงอาจไม่เข้าใจและอาจต่อต้านการใช้ยาได้
2. การรักษาด้านอื่นๆ นอกเหนือจากยา การช่วยเด็กด้านอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการของเด็ก ผู้ใหญ่เข้าใจว่าเด็กดื้อ แกล้งทำ เด็กจะถูกดุว่ามากจนเด็กอาจเสียความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง จึงควรได้รับการแก้ไขดังนี้
- อธิบายให้เด็ก พ่อแม่ ครูทุกคนเข้าใจปัญหาว่าเกิดจากอะไร
- แก้ไขปัญหาการเรียน เด็กมักมีปัญหาการเรียนจากโรคที่เป็น ต้องช่วยเหลือเด็กให้สามารถเรียนได้ เช่น แก้ไขสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และที่โรงเรียน เช่น ให้มีสภาพที่มีสิ่งกระตุ้นเด็กให้น้อยลง เช่น นั่งใกล้ครู อยู่ห้องเรียนที่ไกลจากเสียงรบกวนของรถยนต์ มีการสอนเสริมโดยครูพิเศษ มีที่เป็นสัดส่วนให้เด็กทำการบ้าน ไม่เปิดทีวีขณะเด็กทำการบ้าน เป็นต้น ยกเว้น เด็กบางคนกลับต้องการเสียงดนตรีเบาๆ ช่วงระหว่างทำงานและจะมีสมาธิดีกว่าบรรยากาศที่เงียบเกินไป
- การช่วยเหลือเด็กโดยตรง ถ้าเด็กมีปัญหามานาน ถูกทำโทษมากด้วยความเข้าใจผิด แพทย์ต้องช่วยแก้ความรู้สึกที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กโดยตรง บางครั้งเด็กไม่สามารถเข้ากับเพื่อนได้ก็ต้องช่วยแนะนำ ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ
- พ่อแม่ และครูเป็นที่ปรึกษาให้ระหว่างการเรียน ปัญหาอาจไม่หมดไปง่ายๆ ต้องติดตามช่วยเหลือไปจนแน่ใจว่าทุกคนปรับตัวกับปัญหาได้
ข้อแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ในการอยู่กับเด็กสมาธิสั้น
1. เข้าใจเด็ก
- เป็นธรรมชาติของเขาที่เกิดมาเป็นอย่างนั้นเอง
- เด็กไม่ได้แกล้ง
- ไม่ใช่นิสัยไม่ดี
- ไม่ใช่เด็กดื้อ หรือไม่อดทน
- ไม่ใช่สอนไม่จำ
- ไม่ใช่ไม่มีความรับผิดชอบ
2. หลีกเลี่ยงการตำหนิ-ต่อว่า เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นผลของสมาธิสั้นหรืออยู่ไม่นิ่ง เพราะไม่ช่วยให้เขาดีขึ้น แต่กลับทำลายความรู้สึกของเด็กอย่างมาก
3. ช่วยเด็กคิดวิธีแก้ไขจุดอ่อน เช่น จะแก้การลืมอย่างไร อาจจะใช้วิธีจด ใช้วิธีเอาของที่ต้องใช้จัดรวมกันเพื่อกันลืม
4. ช่วยให้เด็กใช้พลังงาน ไปในทางสร้างสรรค์ มีกิจกรรมให้เด็กสามารถทำได้ เช่น
- กีฬา, ดนตรี, คอมพิวเตอร์
- ช่วยครูที่โรงเรียนทำงาน เช่น แจกสมุด ลบกระดาน
- ช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน
5. จัดสิ่งแวดล้อมของบ้าน
- ถ้าเด็กยังเล็กอยู่ให้เก็บของแตกให้พ้นมือเด็ก
- มีเนื้อที่ให้เด็กใช้ส่วนตัวสำหรับเล่นและทำการบ้าน
ดังที่กล่าวแล้วคือเด็กบางคนต้องการที่เงียบๆ เพื่อช่วยเพิ่มสมาธิ เด็กบางคนกลับต้องการมีเสียงดนตรีเบาๆ ฟังไปด้วยจะช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น
6. แบ่งช่วงเวลาการทำงาน เป็นช่วงสั้นลง เท่ากับที่เด็กสามารถมีสมาธิทำได้ คือให้เด็กมีเวลาพักเป็นช่วงๆ
อย่างไรก็ตามพ่อแม่ควรได้รับความเห็นใจและพ่อแม่ควรรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง เพราะการเลี้ยงเด็กปกติก็เป็นเรื่องเหนื่อยอยู่แล้ว การเลี้ยงดูลูกสมาธิสั้นนั้น เหนื่อยยิ่งกว่าหลายเท่าตัว ดังนั้นถ้าพ่อแม่สามารถหาคนมาช่วยแบ่งเบาภาระไปได้ในบางช่วง และมีเวลาทำอะไรที่พ่อแม่อยากทำบ้าง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่พ่อแม่สมควรจะได้รับบ้าง.
เอกสารอ้างอิง: นงพงา ลิ้มสุวรรณ. เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข, เรื่องสำคัญและน่ารู้สำหรับพ่อแม่. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ: พริ้นติ้งเพลส. 2542. หน้า 189-196.
Posted by DMH Staff.
************************************************************
จิตเภท
จิตเภท
โดย. พญ.สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา /คู่มือจิตเวชศาสตร์ สำหรับประชาชน หน้า 157-160
ประชาชนจำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจผิดและเชื่ออย่างผิดๆ ว่าโรคจิตเป็นโรคที่เกิดจากการกระทำของภูตผีปีศาจ และเป็นโรคที่รักษาไม่หาย จึงไม่พาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจิตเวชแต่กลับพาไปรดน้ำมนต์ เข้าทรง หรือปล่อยให้อยู่กับบ้านไปตามบุญตามกรรม บางรายในชนบทถึงกับล่ามโซ่ผู้ป่วยไว้กับเสาเรือน
จึงขอให้ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ และเมื่อมีโอกาสก็ขอได้โปรดบอกกล่าวต่อๆ กันไปด้วยว่า โรคจิตนั้นส่วนมากรักษาให้หายได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย ถ้าหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องเสียแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม โรคจิตก็เช่นเดียวกับโรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ฯลฯ บางรายอาจหายขาด บางรายเพียงแต่ทุเลา และบางรายก็อาจเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยปลายประการ เช่น ประเภทหรือลักษณะของโรคนั้น ความรุนแรง และระยะเวลาที่เป็นมา
จิตเภท
ในบรรดาผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งทั่วประเทศไทย จิตเภทเป็นโรคที่พบได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับโรคจิตประเภทอื่นๆ ผู้ป่วยจิตเภทแสดงอาการของโรคจิตให้ผู้ใกล้ชิดสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่า จึงสมควรที่ประชาชนจะได้ทราบลักษณะอาการและวิธีการช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว
ไม่ว่าโรคจิตหรือโรคประสาทชนิดใดๆ ระยะเวลาและผลของการรักษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อาการของโรคดำเนินมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งมาหาแพทย์เร็วเท่าใดอาการก็ทุเลาได้เร็วและทุเลาได้มากเท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอาการมานานโรคย่อมเรื้อรังรักษาหายได้ยาก หรือในบางรายไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้เลยญาติหรือผู้ใกล้ชิดจึงควรรีบพาผู้ป่วยมาพบจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด
จิตเภทเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แปลจากชื่อโรคในภาษาอังกฤษว่า “schizophrenia” ผู้ป่วยอาจเกิดอาการไม่ชัดเจนมาก่อนเป็นเวลานานหลายๆ เดือนก็ได้
อาการ
ผู้ป่วยจะแสดงความผิดปกติหลายๆ ด้านร่วมกัน คือมีความผิดปกติของความนึกคิด พฤติกรรม และอารมณ์มักจะเสียความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง เช่น เฉยเมย ไม่ยินดียินร้าย ไม่สนใจและไม่แสดงปฏิกิริยาทางอารมณ์หรือท่าที ไม่ว่าญาติหรือเพื่อนฝูงจะเป็นอย่างไรหรือแสดงต่อเขาอย่างไร ขาดความสนใจและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจโลกภายนอก เช่น ใครจะรักกัน ไฟจะไหม้ที่ใดก็ไม่รู้ มักแยกตัวอยู่คนเดียวไม่เข้ากลุ่ม เช่น เคยรับประทานอาหารที่โต๊ะพร้อมหน้าบิดามารดา ก็แยกไปรับประทานคนเดียวในห้องนอน ชอบอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาสังสรรค์กับครอบครัว เคยไปงานสังคมต่างๆ เช่น งานเลี้ยง งานศพ ก็ไม่ไปโดยไม่มีเหตุผล ความประพฤติมักเสื่อมถอยกลับไปคล้ายผู้ที่อยู่ในวัยอ่อนกว่า หรือบางรายอาจคล้ายทารกไปเลย เช่น ผู้ป่วยอายุ 30 ปี อาจแสดงกิริยาวาจาหรือแต่งกายคล้ายเด็กอายุ 10 ขวบ บางรายไม่ชอบสวมเสื้อผ้า มิใช่เพื่อโอ้อวดร่างกายส่วนที่ควรปกปิด หรือเพราะเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด แต่เป็นเพราะสภาพของจิตใจที่เสื่อมถอยกลับไปสู่วัยเด็กหรือวัยทารกดังกล่าวนั่นเอง ท่านคงสังเกตว่า ทารกหรือเด็กเล็กไม่ใคร่ชอบสวมเสื้อผ้าโดยไม่รู้สึกกระดากอาย ผู้ป่วยจิตเภทบางรายหัวเราะคิดคักอย่างไม่มีเหตุผล พูดคนเดียว หรือพูดกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
ผู้ป่วยจิตเภทอาจมีพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่น ลุกขึ้นอาบน้ำเวลาตีสามขณะอากาศหนาว ลงไปแช่ในตุ่มน้ำที่ขังไว้สำหรับริโภค แต่งกายพิกลผิดผู้อื่นและผิดไปจากบุคลิกภาพเดิมของตนอย่างมาก หัวเราะสลับกับร้องไห้ จุดธูปสวดมนต์ทั้งวัน ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น บางรายเอะอะ อาละวาด หยาบคาย ก้าวร้าว หรือพูดจาเลอะเทอะไม่ได้ใจความหรือบางรายอาจไม่พูดเลยคล้ายเป็นใบ้ ไม่ยอมรับประทานอาหาร ไม่ยอมเคลื่อนไหวเหมือนรูปปั้น
นอกจากนี้ผู้ป่วยจิตเภทบางรายอาจมีความผิดปกติซึ่งไม่เป็นความจริงในชีวิตของเขา เช่น หลงผิดว่าภรรยาเป็นชู้กับชายเพื่อนบ้าน หลงผิดว่าคู่สมรสหรือเพื่อนของตนมีความมุ่งร้ายจะเอาชีวิต หลงผิดว่าตนเป็นมหาเศรษฐีมีเงินหลายล้านบาท บางรายมีประสาทหลอน เช่น หูแว่วได้ยินเสียงเพื่อนด่าหยาบคาย ได้ยินเสียงบิดาสั่งให้ตัดนิ้วตนเองทิ้งเสีย หรือมีประสาทหลอนทางตา เห็นเป็นภาพหลอนว่าภรรยากำลังถือมีดตรงเข้ามาจะทำร้ายตน ผู้ป่วยหวาดกลัวมากจนอาจหาทางป้องกันตัว โดยรีบคว้าปืนยิงภรรยาเสียก่อน ทำให้เกิดคดีฆาตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องชวนสลดใจที่ไม่น่าเกิดขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ป้องกันได้
จากการศึกษาผู้ป่วยคดีในโรงพยาบาลจิตเวชพบว่า มีหลายรายที่การฆาตกรรมนั้นเกิดจากอาการทางจิต คือเกิดจากอาการหลงผิดหวาดระแวง หรือประสาทหลอน และอาการผิดปกติเหล่านี้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดก็สังเกตเห็นมาก่อน แต่ไม่รีบพาไปรักษาด้วยความนิ่งนอนใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงปรากฏข่าวสะเทือนขวัญในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ในทำนองพ่อใช้ขวานฟันคอลูกในเปล สามีแทงภรรยาที่กำลังนั่งหันหลังทำกับข้าว เป็นต้น
ผู้ป่วยจิตเภทไม่จำเป็นต้องมีอาการดังกล่าวหลายอย่างร่วมกัน บางคนอาจแสดงอาการผิดปกติให้เห็นเพียงอย่างเดียวหรือสองอย่างก็ได้ เช่น อาจมีเพียงอาการหลงผิดชนิดระแวงร่วมกับหูแว่ว โดยยังคงประกอบกิจวัตรประจำวันได้เช่นปกติ และพูดคุยได้เรื่องราวดี บางคนอาจเพียงแต่แยกตัวเอง เฉื่อยเฉยไม่ทำการงาน ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ไม่เอะอะอาละวาด วุ่นวาย และไม่มีประสาทหลอนหลงผิดแต่อย่างใด
ตำราแพทย์แขนงจิตเวชศาสตร์จึงแบ่งการวินิจฉัยโรคจิตเภทออกเป็นย่อยๆ อีกหลายประเภท ซึ่งจิตแพทย์ใช้ประกอบการพิจารณาทางวิชาการเพื่อให้การรักษาและพยากรณ์โรค
อาการต่างๆ ที่บรรยายมาข้างต้นล้วนเป็นอาการซึ่งผู้ใกล้ชิดจะสังเกตเห็นได้อย่างค่อนข้างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมีพื้นเพความรู้ทางจิตเวชศาสตร์ก็พอทราบได้ว่าบุคคลนั้นเริ่มป่วยเป็นโรคจิตแล้ว จึงไม่ควรรีรอหรือลังเลที่จะพาไปหาจิตแพทย์เลย
สาเหตุ
จากการศึกษาและงานวิจัยมากมาย ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่ชัดเจนของโรคจิตเภทได้ อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า โรคจิตเภทเกิดจากความผิดปกติทางชีวเคมีของร่างกายที่มีชื่อว่าโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมอง หรือพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันเป็นพหุปัจจัย จิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมทางจิตใจและสังคมซึ่งเริ่มตั้งแต่ในวัยทารกมีอิทธิพลไม่น้อย ในอันที่จะช่วยส่งเสริม หรือสนับสนุนให้เกิดอาการของโรค สิ่งแวดล้อมนี้มีความหมายกว้าง นับตั้งแต่บุคลิกภาพและท่าทีของบิดามารดาที่ต่อผู้ป่วย เช่น ญาติ ครู เพื่อน ผู้บังคับบัญ ชา ผู้ร่วมงาน ฯลฯ แต่อิทธิพลที่สำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์และท่าทีของมารดาต่อผู้ป่วยตั้งแต่ในวัยทารก มารดาได้ให้ความรักความเข้าใจและความอบอุ่นอย่างถูกต้องและพอเพียงหรือไม่ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่กระด้างชาเย็น เจ้าอารมณ์ ดุร้าย ทารุณ หรือตรงกันข้าม ปกป้องฟูมฟักบุตรจนเกินควร มีโอกาสและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางจิตเวชหลายๆ ชนิด รวมทั้งโรคจิตเภทได้มากกว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่อบอุ่น อารมณ์คงเส้นคงวา และบรรลุวุฒิภาวะ
อุบัติการณ์และระบาดวิทยา
จิตเภทเป็นโรคจิตที่พบมากที่สุดในบรรดาโรคจิตทั้งหมด เกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกระดับการศึกษา อาชีพ และเศรษฐานะ แม้ว่างานค้นคว้าวิจัยในต่างประเทศจะแสดงว่าประชาชนในระดับเศรษฐกิจและสังคมต่ำเป็นโรคจิตเภทมากกว่าพวกระดับเศรษฐกิจและสังคมสูงก็ตาม
จากสถิติผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ปี พ.ศ. 2504 ผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล 2,406 ราย เป็นโรคจิตเภทเสีย 1,141 ราย หรือ 59.65% ของผู้ป่วยโรคจิตทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า จิตเภทเป็นโรคจิตที่พบได้มากที่สุดในโรงพยาบาลจิตเวชของประเทศไทย สถิติที่ได้ใกล้เคียงกับสถิติของโรงพยาบาลจิตเวชในต่างประเทศมาก
ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มารับบริการของโรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิตทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ 17 โรงพยาบาล ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศนั้น ประกอบไปด้วยผู้ป่วยทั้งที่เป็นนักศึกษาจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ครูอาจารย์ แพทย์ ข้าราชการพลเรือน พ่อค้า ชาวนา ชาวสวน กรรมกร ฯลฯ
โรคนี้พบมากในเกณฑ์อายุ 15-44 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บุคคลต้องเผชิญปัญหาการปรับตัวกับเหตุการณ์และความตึงเครียดของชีวิตหลายๆ ด้าน เช่น ปัญหาการศึกษา อาชีพ การสมรส การสร้างฐานะและครอบครัว เป็นต้น ฯลฯ ในเด็กและผู้ชราก็อาจพบโรคนี้ได้บ้าง แต่อุบัติการต่ำกว่าในวัยเจริญพันธุ์มาก
การรักษา
การรักษาโรคทางจิตเวชได้วิวัฒนาการไปมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน เช่น เมื่อศตวรรษก่อน ในยุคที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาเพิ่งเปิดรับผู้ป่วยโรคจิต ในครั้งกระนั้น โรงพยาบาลยังไม่มีแพทย์ศึกษาอบรมทางจิตเวชศาสตร์โดยตรง และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พบยาสงบประสาทที่ให้ผลดีเยี่ยมเช่นในปัจจุบันนี้ การดูแลผู้ป่วยโรคจิตจึงเป็นไปอย่างล้าสมัย
แต่ในปัจจุบันเรากล้ากล่าวได้ว่า การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคจิตของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เป็นการดูแลรักษาที่ทันสมัยเทียบเท่าอารยประเทศ แม้เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลมีหอผู้ป่วยหรือที่พักและเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นเดียวกับโรงพยาบาลฝ่ายกายทั่วไปมิได้กักขังหรือผูกมัดผู้ป่วยไว้ในห้องลูกกรงเหล็กเช่นที่ประชาชนบางคนเข้าใจผิด
ผู้ร่วมงานฝ่ายรักษาประกอบด้วยจิตแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา
อนึ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท มิได้หมายความว่าจะต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาลทุกรายไป มีผู้ป่วยจำนวนมากที่อาจได้รับผลดีจากการรักษาแบบผู้ป่วยนอกคือยังอยู่บ้านได้ แต่มาพบแพทย์สม่ำเสมอตามกำหนดนัด เช่น สัปดาห์ละครั้ง ญาติผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการทางจิต แพทย์จะต้องรับไว้ เมื่อแพทย์แนะนำให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกก็โกรธ โดยเข้าใจผิดว่า โรงพยาบาลปฏิเสธไม่ให้บริการแก่ผู้ป่วย ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีโรงพยาบาลใดในโลกจะสามารถรับผู้ป่วยที่มารับการรักษาไว้เป็นผู้ป่วยในได้หมดทุกราย เพราะนอกจากปัญหาใหญ่เรื่องจำนวนเตียงไม่พอกับจำนวนผู้ป่วยแล้วผู้ป่วยบางรายโรคหรือโรคเดียวกันแต่อาการต่างกัน บางรายรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ผลดีกว่าด้วยซ้ำไป
ในกรณีผู้ป่วยโรคจิตเภท ผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการ อาการไม่รุนแรง ควบคุมเองได้ ญาติช่วยดูแลได้ หรือยังพอประกอบอาชีพได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาล
การพิจารณาว่าผู้ป่วยสมควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือไม่ จึงควรเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ตรวจเท่านั้น ญาติหรือผู้พาผู้ป่วยมาจึงควรรับฟังความเห็นของแพทย์
วิธีการรักษาส่วนใหญ่ใช้ยารักษาโรคจิตเป็นหลัก ยาประเภทนี้มีหลายชนิดแพทย์จะเลือกสั่งให้เหมาะสมกับอาการของโรค ญาติจึงไม่ควรซื้อยาตามร้านขายยาให้ผู้ป่วยรับประทานเอง เพราะนอกจากจะไม่ถูกกับอาการของโรคแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายได้
ผู้ป่วยที่รับไว้ในโรงพยาบาล ยังมีวิธีการรักษาแบบอื่นร่วมด้วย ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะเลือกวิธีการร่วมเป็นรายๆ ไป เช่น
1. การทำจิตบำบัด คือ การทำให้ผู้ป่วยสบายใจขึ้น โดยพูดถึงปัญหาของผู้ป่วยด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับแพทย์ผู้รักษา
2. การรักษาด้วยไฟฟ้า ใช้ในผู้ป่วยบางราย
3. อาชีวบำบัด คือการรักษาแบบให้ผู้ป่วยทำงาน เช่น งานหัตถกรรมประดิษฐ์ของต่างๆ งานเย็บสาน จักทอ เพื่อมิให้ผู้ป่วยมีเวลาว่างฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์ทางการรักษาด้วย เพราะกรรมวิธีของงานบางอย่างเป็นหนทางให้ผู้ป่วยได้ระบายอารมณ์หรือความรู้สึกภายในด้วย เช่น การใช้ฆ้อนย้ำทุบเปลือกมะพร้าวแรงๆ เพื่อนำไปทำพรหมเช็ดเท้าเป็นทางระบายอารมณ์โกรธหรือความรู้สึกอยากทำร้ายผู้อื่น นอกจากนี้เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไป อาจนำความชำนาญที่ได้รับไปประกอบอาชีพได้
4. สันทนาการบำบัดและการฟื้นฟูบุคลิกภาพ คือ การหย่อนใจ การกีฬา ศิลปะ และการรื่นเริงต่างๆ ซึ่ง นอกจากจะให้ประโยชน์ทางระบายอารมณ์และช่วยฟื้นฟูบุคลิกภาพของผู้ป่วยแล้วยังช่วยให้ผู้ป่วยโรคจิตซึ่งมักเสียความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น หรือแยกตัวจากสังคมได้ฝึกปรับตัวเข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์กับบุคลอื่นด้วย อันเป็นการกรุยทางให้เขาได้กลับไปสู่สังคมและชุมชน อย่างที่สังคมและชุมชนเต็มใจต้อนรับเขา ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการรักษาผู้ป่วยจิตเภท
โรคจิตเภทส่วนมากมักเป็นๆ หายๆ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมในครอบครัวและในสังคมของเขาเหมาะสม เช่น ครอบครัวอบอุ่น มีความเข้าใจ เห็นใจ และยอมรับผู้ป่วย เต็มใจรับผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลกลับคืนสู่ครอบครัวอย่างจริงใจ สังคมและชุมชนไม่แสดงความรังเกียจผู้ป่วยและผู้ป่วยเลือกดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องพบความตรึงเครียดมากนัก ผู้ป่วยเองติดตามผลการรักษากับแพทย์สม่ำเสมอ อาการก็มักไม่กลับกำเริบอีก
ในทางตรงกันข้าม หากสภาพครอบครัวและชุมชนของผู้ป่วยไม่เอื้ออำนวยหรือผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและพอเพียง ก็อาจมีอาการกำเริบบ่อยครั้ง หรืออาจเป็นเรื้อรังจนบุคลิกภาพเสื่อมกลับคืนสู่สภาพปกติไม่ได้ตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม การอบรมเลี้ยงบุตรหลานอย่างถูกต้องตามหลักสุขภาพจิตอันจะให้เยาวชนเจริญเติบโตอย่างมีสุขภาพจิตดี ซึ่งนอกจากจะเป็นการป้องกันมิให้โรคจิตเภทกลับเป็นซ้ำอีก ยังเป็นการป้องกันโรคจิตโรคประสาทอื่นๆ และบุคลิกภาพแปรปรวนต่างๆ อีกด้วย
*******************************************
ที่มาของข้อมูล: จาก คู่มือจิตเวชศาสตร์ สำหรับประชาชน หน้า 157-160.
โดย. พญ.สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา /คู่มือจิตเวชศาสตร์ สำหรับประชาชน หน้า 157-160
ประชาชนจำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจผิดและเชื่ออย่างผิดๆ ว่าโรคจิตเป็นโรคที่เกิดจากการกระทำของภูตผีปีศาจ และเป็นโรคที่รักษาไม่หาย จึงไม่พาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจิตเวชแต่กลับพาไปรดน้ำมนต์ เข้าทรง หรือปล่อยให้อยู่กับบ้านไปตามบุญตามกรรม บางรายในชนบทถึงกับล่ามโซ่ผู้ป่วยไว้กับเสาเรือน
จึงขอให้ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ และเมื่อมีโอกาสก็ขอได้โปรดบอกกล่าวต่อๆ กันไปด้วยว่า โรคจิตนั้นส่วนมากรักษาให้หายได้เช่นเดียวกับโรคทางกาย ถ้าหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องเสียแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม โรคจิตก็เช่นเดียวกับโรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ฯลฯ บางรายอาจหายขาด บางรายเพียงแต่ทุเลา และบางรายก็อาจเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยปลายประการ เช่น ประเภทหรือลักษณะของโรคนั้น ความรุนแรง และระยะเวลาที่เป็นมา
จิตเภท
ในบรรดาผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาลจิตเวชทุกแห่งทั่วประเทศไทย จิตเภทเป็นโรคที่พบได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับโรคจิตประเภทอื่นๆ ผู้ป่วยจิตเภทแสดงอาการของโรคจิตให้ผู้ใกล้ชิดสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่า จึงสมควรที่ประชาชนจะได้ทราบลักษณะอาการและวิธีการช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว
ไม่ว่าโรคจิตหรือโรคประสาทชนิดใดๆ ระยะเวลาและผลของการรักษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อาการของโรคดำเนินมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งมาหาแพทย์เร็วเท่าใดอาการก็ทุเลาได้เร็วและทุเลาได้มากเท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอาการมานานโรคย่อมเรื้อรังรักษาหายได้ยาก หรือในบางรายไม่อาจรักษาให้หายเป็นปกติได้เลยญาติหรือผู้ใกล้ชิดจึงควรรีบพาผู้ป่วยมาพบจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด
จิตเภทเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แปลจากชื่อโรคในภาษาอังกฤษว่า “schizophrenia” ผู้ป่วยอาจเกิดอาการไม่ชัดเจนมาก่อนเป็นเวลานานหลายๆ เดือนก็ได้
อาการ
ผู้ป่วยจะแสดงความผิดปกติหลายๆ ด้านร่วมกัน คือมีความผิดปกติของความนึกคิด พฤติกรรม และอารมณ์มักจะเสียความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง เช่น เฉยเมย ไม่ยินดียินร้าย ไม่สนใจและไม่แสดงปฏิกิริยาทางอารมณ์หรือท่าที ไม่ว่าญาติหรือเพื่อนฝูงจะเป็นอย่างไรหรือแสดงต่อเขาอย่างไร ขาดความสนใจและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจโลกภายนอก เช่น ใครจะรักกัน ไฟจะไหม้ที่ใดก็ไม่รู้ มักแยกตัวอยู่คนเดียวไม่เข้ากลุ่ม เช่น เคยรับประทานอาหารที่โต๊ะพร้อมหน้าบิดามารดา ก็แยกไปรับประทานคนเดียวในห้องนอน ชอบอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาสังสรรค์กับครอบครัว เคยไปงานสังคมต่างๆ เช่น งานเลี้ยง งานศพ ก็ไม่ไปโดยไม่มีเหตุผล ความประพฤติมักเสื่อมถอยกลับไปคล้ายผู้ที่อยู่ในวัยอ่อนกว่า หรือบางรายอาจคล้ายทารกไปเลย เช่น ผู้ป่วยอายุ 30 ปี อาจแสดงกิริยาวาจาหรือแต่งกายคล้ายเด็กอายุ 10 ขวบ บางรายไม่ชอบสวมเสื้อผ้า มิใช่เพื่อโอ้อวดร่างกายส่วนที่ควรปกปิด หรือเพราะเกิดอารมณ์ทางเพศอย่างที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิด แต่เป็นเพราะสภาพของจิตใจที่เสื่อมถอยกลับไปสู่วัยเด็กหรือวัยทารกดังกล่าวนั่นเอง ท่านคงสังเกตว่า ทารกหรือเด็กเล็กไม่ใคร่ชอบสวมเสื้อผ้าโดยไม่รู้สึกกระดากอาย ผู้ป่วยจิตเภทบางรายหัวเราะคิดคักอย่างไม่มีเหตุผล พูดคนเดียว หรือพูดกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน
ผู้ป่วยจิตเภทอาจมีพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่น ลุกขึ้นอาบน้ำเวลาตีสามขณะอากาศหนาว ลงไปแช่ในตุ่มน้ำที่ขังไว้สำหรับริโภค แต่งกายพิกลผิดผู้อื่นและผิดไปจากบุคลิกภาพเดิมของตนอย่างมาก หัวเราะสลับกับร้องไห้ จุดธูปสวดมนต์ทั้งวัน ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น บางรายเอะอะ อาละวาด หยาบคาย ก้าวร้าว หรือพูดจาเลอะเทอะไม่ได้ใจความหรือบางรายอาจไม่พูดเลยคล้ายเป็นใบ้ ไม่ยอมรับประทานอาหาร ไม่ยอมเคลื่อนไหวเหมือนรูปปั้น
นอกจากนี้ผู้ป่วยจิตเภทบางรายอาจมีความผิดปกติซึ่งไม่เป็นความจริงในชีวิตของเขา เช่น หลงผิดว่าภรรยาเป็นชู้กับชายเพื่อนบ้าน หลงผิดว่าคู่สมรสหรือเพื่อนของตนมีความมุ่งร้ายจะเอาชีวิต หลงผิดว่าตนเป็นมหาเศรษฐีมีเงินหลายล้านบาท บางรายมีประสาทหลอน เช่น หูแว่วได้ยินเสียงเพื่อนด่าหยาบคาย ได้ยินเสียงบิดาสั่งให้ตัดนิ้วตนเองทิ้งเสีย หรือมีประสาทหลอนทางตา เห็นเป็นภาพหลอนว่าภรรยากำลังถือมีดตรงเข้ามาจะทำร้ายตน ผู้ป่วยหวาดกลัวมากจนอาจหาทางป้องกันตัว โดยรีบคว้าปืนยิงภรรยาเสียก่อน ทำให้เกิดคดีฆาตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องชวนสลดใจที่ไม่น่าเกิดขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่ป้องกันได้
จากการศึกษาผู้ป่วยคดีในโรงพยาบาลจิตเวชพบว่า มีหลายรายที่การฆาตกรรมนั้นเกิดจากอาการทางจิต คือเกิดจากอาการหลงผิดหวาดระแวง หรือประสาทหลอน และอาการผิดปกติเหล่านี้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดก็สังเกตเห็นมาก่อน แต่ไม่รีบพาไปรักษาด้วยความนิ่งนอนใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงปรากฏข่าวสะเทือนขวัญในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ ในทำนองพ่อใช้ขวานฟันคอลูกในเปล สามีแทงภรรยาที่กำลังนั่งหันหลังทำกับข้าว เป็นต้น
ผู้ป่วยจิตเภทไม่จำเป็นต้องมีอาการดังกล่าวหลายอย่างร่วมกัน บางคนอาจแสดงอาการผิดปกติให้เห็นเพียงอย่างเดียวหรือสองอย่างก็ได้ เช่น อาจมีเพียงอาการหลงผิดชนิดระแวงร่วมกับหูแว่ว โดยยังคงประกอบกิจวัตรประจำวันได้เช่นปกติ และพูดคุยได้เรื่องราวดี บางคนอาจเพียงแต่แยกตัวเอง เฉื่อยเฉยไม่ทำการงาน ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ไม่เอะอะอาละวาด วุ่นวาย และไม่มีประสาทหลอนหลงผิดแต่อย่างใด
ตำราแพทย์แขนงจิตเวชศาสตร์จึงแบ่งการวินิจฉัยโรคจิตเภทออกเป็นย่อยๆ อีกหลายประเภท ซึ่งจิตแพทย์ใช้ประกอบการพิจารณาทางวิชาการเพื่อให้การรักษาและพยากรณ์โรค
อาการต่างๆ ที่บรรยายมาข้างต้นล้วนเป็นอาการซึ่งผู้ใกล้ชิดจะสังเกตเห็นได้อย่างค่อนข้างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องมีพื้นเพความรู้ทางจิตเวชศาสตร์ก็พอทราบได้ว่าบุคคลนั้นเริ่มป่วยเป็นโรคจิตแล้ว จึงไม่ควรรีรอหรือลังเลที่จะพาไปหาจิตแพทย์เลย
สาเหตุ
จากการศึกษาและงานวิจัยมากมาย ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่ชัดเจนของโรคจิตเภทได้ อย่างไรก็ตาม กล่าวได้ว่า โรคจิตเภทเกิดจากความผิดปกติทางชีวเคมีของร่างกายที่มีชื่อว่าโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมอง หรือพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันเป็นพหุปัจจัย จิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมทางจิตใจและสังคมซึ่งเริ่มตั้งแต่ในวัยทารกมีอิทธิพลไม่น้อย ในอันที่จะช่วยส่งเสริม หรือสนับสนุนให้เกิดอาการของโรค สิ่งแวดล้อมนี้มีความหมายกว้าง นับตั้งแต่บุคลิกภาพและท่าทีของบิดามารดาที่ต่อผู้ป่วย เช่น ญาติ ครู เพื่อน ผู้บังคับบัญ ชา ผู้ร่วมงาน ฯลฯ แต่อิทธิพลที่สำคัญที่สุดคือ ความสัมพันธ์และท่าทีของมารดาต่อผู้ป่วยตั้งแต่ในวัยทารก มารดาได้ให้ความรักความเข้าใจและความอบอุ่นอย่างถูกต้องและพอเพียงหรือไม่ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่กระด้างชาเย็น เจ้าอารมณ์ ดุร้าย ทารุณ หรือตรงกันข้าม ปกป้องฟูมฟักบุตรจนเกินควร มีโอกาสและมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคทางจิตเวชหลายๆ ชนิด รวมทั้งโรคจิตเภทได้มากกว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาที่อบอุ่น อารมณ์คงเส้นคงวา และบรรลุวุฒิภาวะ
อุบัติการณ์และระบาดวิทยา
จิตเภทเป็นโรคจิตที่พบมากที่สุดในบรรดาโรคจิตทั้งหมด เกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกระดับการศึกษา อาชีพ และเศรษฐานะ แม้ว่างานค้นคว้าวิจัยในต่างประเทศจะแสดงว่าประชาชนในระดับเศรษฐกิจและสังคมต่ำเป็นโรคจิตเภทมากกว่าพวกระดับเศรษฐกิจและสังคมสูงก็ตาม
จากสถิติผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ปี พ.ศ. 2504 ผู้ป่วยโรคจิตที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล 2,406 ราย เป็นโรคจิตเภทเสีย 1,141 ราย หรือ 59.65% ของผู้ป่วยโรคจิตทั้งหมด จึงเห็นได้ว่า จิตเภทเป็นโรคจิตที่พบได้มากที่สุดในโรงพยาบาลจิตเวชของประเทศไทย สถิติที่ได้ใกล้เคียงกับสถิติของโรงพยาบาลจิตเวชในต่างประเทศมาก
ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มารับบริการของโรงพยาบาลในสังกัดกรมสุขภาพจิตทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ 17 โรงพยาบาล ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศนั้น ประกอบไปด้วยผู้ป่วยทั้งที่เป็นนักศึกษาจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ครูอาจารย์ แพทย์ ข้าราชการพลเรือน พ่อค้า ชาวนา ชาวสวน กรรมกร ฯลฯ
โรคนี้พบมากในเกณฑ์อายุ 15-44 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บุคคลต้องเผชิญปัญหาการปรับตัวกับเหตุการณ์และความตึงเครียดของชีวิตหลายๆ ด้าน เช่น ปัญหาการศึกษา อาชีพ การสมรส การสร้างฐานะและครอบครัว เป็นต้น ฯลฯ ในเด็กและผู้ชราก็อาจพบโรคนี้ได้บ้าง แต่อุบัติการต่ำกว่าในวัยเจริญพันธุ์มาก
การรักษา
การรักษาโรคทางจิตเวชได้วิวัฒนาการไปมาก เมื่อเทียบกับสมัยก่อน เช่น เมื่อศตวรรษก่อน ในยุคที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาเพิ่งเปิดรับผู้ป่วยโรคจิต ในครั้งกระนั้น โรงพยาบาลยังไม่มีแพทย์ศึกษาอบรมทางจิตเวชศาสตร์โดยตรง และนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พบยาสงบประสาทที่ให้ผลดีเยี่ยมเช่นในปัจจุบันนี้ การดูแลผู้ป่วยโรคจิตจึงเป็นไปอย่างล้าสมัย
แต่ในปัจจุบันเรากล้ากล่าวได้ว่า การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคจิตของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา เป็นการดูแลรักษาที่ทันสมัยเทียบเท่าอารยประเทศ แม้เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลมีหอผู้ป่วยหรือที่พักและเครื่องอำนวยความสะดวกเช่นเดียวกับโรงพยาบาลฝ่ายกายทั่วไปมิได้กักขังหรือผูกมัดผู้ป่วยไว้ในห้องลูกกรงเหล็กเช่นที่ประชาชนบางคนเข้าใจผิด
ผู้ร่วมงานฝ่ายรักษาประกอบด้วยจิตแพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา
อนึ่ง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท มิได้หมายความว่าจะต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาลทุกรายไป มีผู้ป่วยจำนวนมากที่อาจได้รับผลดีจากการรักษาแบบผู้ป่วยนอกคือยังอยู่บ้านได้ แต่มาพบแพทย์สม่ำเสมอตามกำหนดนัด เช่น สัปดาห์ละครั้ง ญาติผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าเมื่อผู้ป่วยเกิดอาการทางจิต แพทย์จะต้องรับไว้ เมื่อแพทย์แนะนำให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกก็โกรธ โดยเข้าใจผิดว่า โรงพยาบาลปฏิเสธไม่ให้บริการแก่ผู้ป่วย ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีโรงพยาบาลใดในโลกจะสามารถรับผู้ป่วยที่มารับการรักษาไว้เป็นผู้ป่วยในได้หมดทุกราย เพราะนอกจากปัญหาใหญ่เรื่องจำนวนเตียงไม่พอกับจำนวนผู้ป่วยแล้วผู้ป่วยบางรายโรคหรือโรคเดียวกันแต่อาการต่างกัน บางรายรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ผลดีกว่าด้วยซ้ำไป
ในกรณีผู้ป่วยโรคจิตเภท ผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการ อาการไม่รุนแรง ควบคุมเองได้ ญาติช่วยดูแลได้ หรือยังพอประกอบอาชีพได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาล
การพิจารณาว่าผู้ป่วยสมควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือไม่ จึงควรเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ตรวจเท่านั้น ญาติหรือผู้พาผู้ป่วยมาจึงควรรับฟังความเห็นของแพทย์
วิธีการรักษาส่วนใหญ่ใช้ยารักษาโรคจิตเป็นหลัก ยาประเภทนี้มีหลายชนิดแพทย์จะเลือกสั่งให้เหมาะสมกับอาการของโรค ญาติจึงไม่ควรซื้อยาตามร้านขายยาให้ผู้ป่วยรับประทานเอง เพราะนอกจากจะไม่ถูกกับอาการของโรคแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายได้
ผู้ป่วยที่รับไว้ในโรงพยาบาล ยังมีวิธีการรักษาแบบอื่นร่วมด้วย ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะเลือกวิธีการร่วมเป็นรายๆ ไป เช่น
1. การทำจิตบำบัด คือ การทำให้ผู้ป่วยสบายใจขึ้น โดยพูดถึงปัญหาของผู้ป่วยด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับแพทย์ผู้รักษา
2. การรักษาด้วยไฟฟ้า ใช้ในผู้ป่วยบางราย
3. อาชีวบำบัด คือการรักษาแบบให้ผู้ป่วยทำงาน เช่น งานหัตถกรรมประดิษฐ์ของต่างๆ งานเย็บสาน จักทอ เพื่อมิให้ผู้ป่วยมีเวลาว่างฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกันก็ให้ประโยชน์ทางการรักษาด้วย เพราะกรรมวิธีของงานบางอย่างเป็นหนทางให้ผู้ป่วยได้ระบายอารมณ์หรือความรู้สึกภายในด้วย เช่น การใช้ฆ้อนย้ำทุบเปลือกมะพร้าวแรงๆ เพื่อนำไปทำพรหมเช็ดเท้าเป็นทางระบายอารมณ์โกรธหรือความรู้สึกอยากทำร้ายผู้อื่น นอกจากนี้เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไป อาจนำความชำนาญที่ได้รับไปประกอบอาชีพได้
4. สันทนาการบำบัดและการฟื้นฟูบุคลิกภาพ คือ การหย่อนใจ การกีฬา ศิลปะ และการรื่นเริงต่างๆ ซึ่ง นอกจากจะให้ประโยชน์ทางระบายอารมณ์และช่วยฟื้นฟูบุคลิกภาพของผู้ป่วยแล้วยังช่วยให้ผู้ป่วยโรคจิตซึ่งมักเสียความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น หรือแยกตัวจากสังคมได้ฝึกปรับตัวเข้าสังคมและสร้างความสัมพันธ์กับบุคลอื่นด้วย อันเป็นการกรุยทางให้เขาได้กลับไปสู่สังคมและชุมชน อย่างที่สังคมและชุมชนเต็มใจต้อนรับเขา ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการรักษาผู้ป่วยจิตเภท
โรคจิตเภทส่วนมากมักเป็นๆ หายๆ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมในครอบครัวและในสังคมของเขาเหมาะสม เช่น ครอบครัวอบอุ่น มีความเข้าใจ เห็นใจ และยอมรับผู้ป่วย เต็มใจรับผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลกลับคืนสู่ครอบครัวอย่างจริงใจ สังคมและชุมชนไม่แสดงความรังเกียจผู้ป่วยและผู้ป่วยเลือกดำเนินชีวิตอย่างไม่ต้องพบความตรึงเครียดมากนัก ผู้ป่วยเองติดตามผลการรักษากับแพทย์สม่ำเสมอ อาการก็มักไม่กลับกำเริบอีก
ในทางตรงกันข้าม หากสภาพครอบครัวและชุมชนของผู้ป่วยไม่เอื้ออำนวยหรือผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและพอเพียง ก็อาจมีอาการกำเริบบ่อยครั้ง หรืออาจเป็นเรื้อรังจนบุคลิกภาพเสื่อมกลับคืนสู่สภาพปกติไม่ได้ตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม การอบรมเลี้ยงบุตรหลานอย่างถูกต้องตามหลักสุขภาพจิตอันจะให้เยาวชนเจริญเติบโตอย่างมีสุขภาพจิตดี ซึ่งนอกจากจะเป็นการป้องกันมิให้โรคจิตเภทกลับเป็นซ้ำอีก ยังเป็นการป้องกันโรคจิตโรคประสาทอื่นๆ และบุคลิกภาพแปรปรวนต่างๆ อีกด้วย
*******************************************
ที่มาของข้อมูล: จาก คู่มือจิตเวชศาสตร์ สำหรับประชาชน หน้า 157-160.
ไมเกรน..ป้องกันได้
ไมเกรน..ป้องกันได้
โดย ศ.นพ.กัมมันต์ พันธุมจินดา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไมเกรนเป็นอาการปวดศรีษะที่พบได้บ่อย โดยในระยะเวลา 1 ปี พบอัตราความชุกของไมเกรนในผู้หญิงร้อยละ 18 ในผู้ชายร้อยละ 6 และในเด็กร้อยละ 4
โดยอาการของการปวดไมเกรนประกอบไปด้วย ปวดศรีษะร่วมกับอาการทางระบบประสาท อาการทางระบบทางเดินอาหาร และอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเกิดอาการไมเกรนครั้งแรกในช่วงอายุก่อน 30 ปี แต่ผู้ป่วยบางส่วนอาจจะมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 40-50 ปี ได้เช่นกัน การวินิจฉัยไมเกรนอาศัยลักษณะของอาการปวดศรีษะของผู้ป่วยร่วมกับอาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ในปี 2004 ทาง HIS (International Heache Society) ได้จัดทำแนวทางในการวินิจฉัยโรคปวดศีรษะขึ้น นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ไมเกรนเป็นภาวะความเจ็บป่วยชนิดหนึ่งที่ทำให้สมรรถภาพในการทำงานของผู้ป่วยลดลงเป็นอย่างมาก
พยาธิกำเนิด
ไมเกรนเป็นความผิดปรกติในกลุ่มโรคที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วย โดยมีอาการทางระบบประสาทก่อนมีอาการปวดศีรษะไมเกรน (migrain aura) เดิมเชื่อว่าเกิดจากหลอดเลือดในสมองมีการหดตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายมีการตอบสนองโดยการทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว ซึ่งการขยายตัวของหลอดเลือดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศรีษะขึ้น
อาการ
อาการปวดศีรษะมีลักษณะสำคัญคือ มักมีอาการปวดข้างเดียวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดตื้อๆ (ประมาณ ร้อยละ 85% ) การปวดมักเป็นมาก ปานกลาง ถึงรุนแรง และมักเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ระยะเวลาของอาการปวดเกิดขึ้นได้นาน 4 ถึง 72 ชั่วโมง ในผู้ใหญ่ และประมาณ 2 ถึง 48 ชั่วโมง ในเด็ก นอกจากนี้ยังพบอาการเบื่ออาหารได้ค่อนข้างบ่อย ส่วนอาการคลื่นไส้พบได้ประมาณร้อยละ 90 ในขณะที่อาการอาเจียนพบในผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 ส่วน ภาวะที่ผู้ป่วยไวต่อสิ่งเร้าได้ง่ายขึ้นก็พบได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่มักอยากอยู่ในห้องมีดและเงียบเพราะจะทำให้อาการปวดศีระษะดีขึ้น HIS แบ่งไมเกรนออกเป็น 2 กลุ่ม คือไมเกรนร่วมกับมีอาการนำมาก่อน ( migraine with aura) และไมเกรนที่ไม่มีอาการนำมาก่อน (migraine without aura)
การรักษาไมเกรน
เริ่มด้วยการให้การวินิจฉัยโดยแพทย์ ให้คำอธิบายลักษณะของโรคให้ผู้ป่วยทราบ และวางแผนการรักษาโดยพิจารณาอาการและความเจ็บป่วยอื่นที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ร่วมด้วย โดยสภาวะที่มักพบในผู้ป่วยที่ป่วยเป็นไมเกรน ได้แก่ stroke, โรคลมชัก, ความผิดปกติทางจิตใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า อารมณ์คลั่ง ภาวะวิตกกังวล และ panic นอกจากนี้ยังอาจพบความผิดปกติทางจิตใจที่ทำให้เกิดความผิดปติระบบย่อยอาหาร เช่นท้องเสียจากภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า ร่วมด้วยได้
การรักษาด้วยยา
แบ่งเป็นการรักษาแบบเฉียบพลันเพื่อบรรเทาอาการปวด หรือการใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดไมเกรน การรักษาแบบเฉียบพลันใช้เพื่อหยุดหรือลดอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้น ส่วนการใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดไมเกรนใช้เพื่อลดความถี่ในการเกิดอาการไมเกรนแบบเฉียบพลันลง และช่วยให้ความรุนแรงของอากรปวดลดน้อยลงด้วย จากหลักฐานทางวิชาการเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความทนต่อยาที่ใช้ในการป้องกันอาการปวดไมเกรน ทาง United States Headache Consortium ได้สรุป และจัดทำเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดอาการไมเกรน คือ ควรให้การรักษาด้วยยาเพื่อป้องกันการเกิดไมเกรนในผู้ป่วยกรณีต่อไปนี้
- มีอาการไมเกรนเป็นซ้ำๆ ซึ่งอาการไมเกรนที่เป็นมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย แม้จะได้รับการรักษาแบบเฉียบพลันเพื่อบรรเทาอาการปวดแล้วก็ตาม เช่น เกิดอาการไมเกรนมากกว่า 2 ครั้งใน 1 เดือน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานได้ แต่เวลาที่เกิดอาการจะรุนแรงมากจนผู้ป่วยไม่สามารถทำงานได้
- ได้รับการรักษาด้วยยาแบบเฉียบพลันแล้วแต่ไม่ได้ผลในการรักษาหรือมีข้อห้ามใช้หรือเกิดผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในการรักษาอาการปวดแบบเฉียบพลัน
- ใช้ยาบรรเทาอาการปวดมากเกินไป
- ผู้ป่วยมีลักษณะมีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการทางระบบประสาท
- มีอาการปวดศีรษะบ่อยมาก (มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์) และมีความเสี่ยงต่อการเกิด rebound headache
- เป็นความต้องการของผู้ป่วยที่จะได้รับการรักษาด้วยแบบป้องกันเพื่อลดความถี่ในการเกิดอาการไมเกรนเฉียบพลัน
ยาที่ใช้รักษา
1. เป็นยาในกลุ่ม Beta-adrenergic blockers ได้แก่ propanolol, nadol, atenodol, metoprolol และ timolol ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรนได้ แต่ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางพฤติกรรมได้ เช่น ง่วงซึม อ่อนล้าง่าย, การนอนหลับผิดปกติ ฝันร้าย, ภาวะซึมเศร้า, ความจำเลวลง และประสาทหลอน ดังนั้นยาในกลุ่มนี้จะต้องหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยไมเกรนที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย
2. ยารักษาโรคซึมเศร้า กลุ่ม tricyclic antidepressant, amitriptyline เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการไมเกรน อารข้างเคียงของยานี้คือ รับประทานอาหารเพิ่มขึ้น, ปากแห้ง, และง่วงซึม
3. ยากันชัก มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่ายากันชักสามารถนำมาใช้ป้องกันไมเกรนมากขึ้น เช่น sodium valproate, toprimate ซึ่งยาตัวนี้นอกจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรน ยังพบว่าการใช้ยาต่อเนื่องมีผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้ (ซึ่งยาป้องกันไมเกรนตัวอื่นนั้นมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยา)
บทส่งท้ายโดยคณะ DMH Staff
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจะมียาที่ใช้ป้องกันรักษาไมเกรนได้ แต่การมีพฤติกรรมสุขาภาพที่ดี เป็นเกราะป้องกันโรคที่ดีที่สุด นั่นคือ
1. งดเว้นสิ่งเสพติด สุรา เครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด
2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว การวิ่งจ๊อกกิ้ง การเต้นแอโรคบิค ว่ายน้ำ เป็นต้น โดยทำอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที
3. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบถ้วน
เมื่อท่านสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็เป็นวิธีที่ป้องกันโรคที่ดีที่สุด
**********************************************
อ้างอิง :
เอกสารเผยแพร่ในที่ประชุมวิชาการนานาชาติ ของ กรมสุขภาพจิต ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
วันที่ 6-8 ตุลาคม 2547 ณ โรงแรมอิมพิเรียลควีนศ์ปารค์ กรุงเทพฯ
โดย ศ.นพ.กัมมันต์ พันธุมจินดา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไมเกรนเป็นอาการปวดศรีษะที่พบได้บ่อย โดยในระยะเวลา 1 ปี พบอัตราความชุกของไมเกรนในผู้หญิงร้อยละ 18 ในผู้ชายร้อยละ 6 และในเด็กร้อยละ 4
โดยอาการของการปวดไมเกรนประกอบไปด้วย ปวดศรีษะร่วมกับอาการทางระบบประสาท อาการทางระบบทางเดินอาหาร และอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเกิดอาการไมเกรนครั้งแรกในช่วงอายุก่อน 30 ปี แต่ผู้ป่วยบางส่วนอาจจะมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 40-50 ปี ได้เช่นกัน การวินิจฉัยไมเกรนอาศัยลักษณะของอาการปวดศรีษะของผู้ป่วยร่วมกับอาการอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ในปี 2004 ทาง HIS (International Heache Society) ได้จัดทำแนวทางในการวินิจฉัยโรคปวดศีรษะขึ้น นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ไมเกรนเป็นภาวะความเจ็บป่วยชนิดหนึ่งที่ทำให้สมรรถภาพในการทำงานของผู้ป่วยลดลงเป็นอย่างมาก
พยาธิกำเนิด
ไมเกรนเป็นความผิดปรกติในกลุ่มโรคที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วย โดยมีอาการทางระบบประสาทก่อนมีอาการปวดศีรษะไมเกรน (migrain aura) เดิมเชื่อว่าเกิดจากหลอดเลือดในสมองมีการหดตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายมีการตอบสนองโดยการทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว ซึ่งการขยายตัวของหลอดเลือดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศรีษะขึ้น
อาการ
อาการปวดศีรษะมีลักษณะสำคัญคือ มักมีอาการปวดข้างเดียวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดตื้อๆ (ประมาณ ร้อยละ 85% ) การปวดมักเป็นมาก ปานกลาง ถึงรุนแรง และมักเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ระยะเวลาของอาการปวดเกิดขึ้นได้นาน 4 ถึง 72 ชั่วโมง ในผู้ใหญ่ และประมาณ 2 ถึง 48 ชั่วโมง ในเด็ก นอกจากนี้ยังพบอาการเบื่ออาหารได้ค่อนข้างบ่อย ส่วนอาการคลื่นไส้พบได้ประมาณร้อยละ 90 ในขณะที่อาการอาเจียนพบในผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 ส่วน ภาวะที่ผู้ป่วยไวต่อสิ่งเร้าได้ง่ายขึ้นก็พบได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่มักอยากอยู่ในห้องมีดและเงียบเพราะจะทำให้อาการปวดศีระษะดีขึ้น HIS แบ่งไมเกรนออกเป็น 2 กลุ่ม คือไมเกรนร่วมกับมีอาการนำมาก่อน ( migraine with aura) และไมเกรนที่ไม่มีอาการนำมาก่อน (migraine without aura)
การรักษาไมเกรน
เริ่มด้วยการให้การวินิจฉัยโดยแพทย์ ให้คำอธิบายลักษณะของโรคให้ผู้ป่วยทราบ และวางแผนการรักษาโดยพิจารณาอาการและความเจ็บป่วยอื่นที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ร่วมด้วย โดยสภาวะที่มักพบในผู้ป่วยที่ป่วยเป็นไมเกรน ได้แก่ stroke, โรคลมชัก, ความผิดปกติทางจิตใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า อารมณ์คลั่ง ภาวะวิตกกังวล และ panic นอกจากนี้ยังอาจพบความผิดปกติทางจิตใจที่ทำให้เกิดความผิดปติระบบย่อยอาหาร เช่นท้องเสียจากภาวะวิตกกังวลหรือซึมเศร้า ร่วมด้วยได้
การรักษาด้วยยา
แบ่งเป็นการรักษาแบบเฉียบพลันเพื่อบรรเทาอาการปวด หรือการใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดไมเกรน การรักษาแบบเฉียบพลันใช้เพื่อหยุดหรือลดอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้น ส่วนการใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดไมเกรนใช้เพื่อลดความถี่ในการเกิดอาการไมเกรนแบบเฉียบพลันลง และช่วยให้ความรุนแรงของอากรปวดลดน้อยลงด้วย จากหลักฐานทางวิชาการเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความทนต่อยาที่ใช้ในการป้องกันอาการปวดไมเกรน ทาง United States Headache Consortium ได้สรุป และจัดทำเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดอาการไมเกรน คือ ควรให้การรักษาด้วยยาเพื่อป้องกันการเกิดไมเกรนในผู้ป่วยกรณีต่อไปนี้
- มีอาการไมเกรนเป็นซ้ำๆ ซึ่งอาการไมเกรนที่เป็นมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย แม้จะได้รับการรักษาแบบเฉียบพลันเพื่อบรรเทาอาการปวดแล้วก็ตาม เช่น เกิดอาการไมเกรนมากกว่า 2 ครั้งใน 1 เดือน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานได้ แต่เวลาที่เกิดอาการจะรุนแรงมากจนผู้ป่วยไม่สามารถทำงานได้
- ได้รับการรักษาด้วยยาแบบเฉียบพลันแล้วแต่ไม่ได้ผลในการรักษาหรือมีข้อห้ามใช้หรือเกิดผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในการรักษาอาการปวดแบบเฉียบพลัน
- ใช้ยาบรรเทาอาการปวดมากเกินไป
- ผู้ป่วยมีลักษณะมีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการทางระบบประสาท
- มีอาการปวดศีรษะบ่อยมาก (มากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์) และมีความเสี่ยงต่อการเกิด rebound headache
- เป็นความต้องการของผู้ป่วยที่จะได้รับการรักษาด้วยแบบป้องกันเพื่อลดความถี่ในการเกิดอาการไมเกรนเฉียบพลัน
ยาที่ใช้รักษา
1. เป็นยาในกลุ่ม Beta-adrenergic blockers ได้แก่ propanolol, nadol, atenodol, metoprolol และ timolol ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรนได้ แต่ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางพฤติกรรมได้ เช่น ง่วงซึม อ่อนล้าง่าย, การนอนหลับผิดปกติ ฝันร้าย, ภาวะซึมเศร้า, ความจำเลวลง และประสาทหลอน ดังนั้นยาในกลุ่มนี้จะต้องหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยไมเกรนที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย
2. ยารักษาโรคซึมเศร้า กลุ่ม tricyclic antidepressant, amitriptyline เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการไมเกรน อารข้างเคียงของยานี้คือ รับประทานอาหารเพิ่มขึ้น, ปากแห้ง, และง่วงซึม
3. ยากันชัก มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่ายากันชักสามารถนำมาใช้ป้องกันไมเกรนมากขึ้น เช่น sodium valproate, toprimate ซึ่งยาตัวนี้นอกจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรน ยังพบว่าการใช้ยาต่อเนื่องมีผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้ (ซึ่งยาป้องกันไมเกรนตัวอื่นนั้นมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยา)
บทส่งท้ายโดยคณะ DMH Staff
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจะมียาที่ใช้ป้องกันรักษาไมเกรนได้ แต่การมีพฤติกรรมสุขาภาพที่ดี เป็นเกราะป้องกันโรคที่ดีที่สุด นั่นคือ
1. งดเว้นสิ่งเสพติด สุรา เครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด
2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว การวิ่งจ๊อกกิ้ง การเต้นแอโรคบิค ว่ายน้ำ เป็นต้น โดยทำอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที
3. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบถ้วน
เมื่อท่านสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็เป็นวิธีที่ป้องกันโรคที่ดีที่สุด
**********************************************
อ้างอิง :
เอกสารเผยแพร่ในที่ประชุมวิชาการนานาชาติ ของ กรมสุขภาพจิต ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
วันที่ 6-8 ตุลาคม 2547 ณ โรงแรมอิมพิเรียลควีนศ์ปารค์ กรุงเทพฯ
ต้นกำเนิด "วันวาเลนไทน์"
อีกไม่กี่วันนับจากวันที่เขียนบทความนี้ ก็จะใกล้จะถึงวันวาเลนไทน์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เหมือนกับทุกๆปีที่ผ่านมา ในวันวาเลนไทน์นี้หลายคนให้ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "วันแห่งความรัก" ซึ่งวันดังกล่าวผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราหลายท่านได้ให้ความเป็นห่วงถึงค่านิยมของวันรุ่นบางคน ที่มักจะมีค่านิยมกับวันวาเลนไทน์ไปในทางที่ไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เช่น ใช้เป็นวันเปิดบริสุทธิ์บ้าง วันแห่งการมีเซ็กส์บ้าง ดังที่ปรากฎเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และทีวีรายวัน ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมาหลายประการ
ดูจากผลการสำรวจล่าสุดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2549 ในเด็กนักเรียนระดับปวช.ใน 20 จังหวัด พบเยาวชนชายร้อยละ 36 และหญิงร้อยละ 28 มีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเพียง 15 ปี และใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ 35 เท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำมาก ทำให้วัยรุ่นไทยติดเชื้อเอดส์แล้วกว่า 90,000 คน และมีแนวโน้มจะติดมากขึ้น นอกจากนี้วัยรุ่นอายุ 10-24 ปี ยังมีอัตราติดเชื้อกามโรคสูงขึ้นต่อเนื่องทั้งชายและหญิง จากร้อยละ 23 ใน พ.ศ.2544 เป็นร้อยละ 43 ในปี 2549 จากผู้ป่วยทั้งหมดที่มี 9,735 คน โรคที่พบมากที่สุด คือ โรคหนองใน พบได้เกือบ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยทั้งหมด"
ดูตัวเลขสถิติข้างต้นแล้ว คงทำให้หลายคนมีความเป็นห่วง อย่างไรก็ดี อยากจะให้ท่านผู้อ่านทั้งที่เป็นวัยรุ่น และวัยไม่รุ่นได้ลองมาอ่านบทความดังต่อไปนี้ โดยผู้เขียนหวังว่าอาจจะเปลี่ยนค่านิยมของวัยรุ่นบางคนที่กำลังจะมีค่านิยมที่ผิดเพี้ยนไปดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ได้ทราบความเป็นมา หรือตำนานของวันวาเลนไทน์
ความจริงวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ที่สังคมไทยบางส่วนให้เกียรติยกย่องว่าเป็นวันแห่งความรักนั้น ถือกำเนิดมาไม่ใช่เพื่อให้เด็กสาวต้องเสียพรหมจรรย์ เหมือนกับที่สังคมไทยบางส่วน (อาจจะมากขึ้นด้วย)รับรู้หรือเข้าใจกัน แต่เป็นวันเมตตาและความรักที่บริสุทธิ์ ปราศจากมัวหมองหรือการฉวยโอกาสทั้งสิ้น
มีตำนานเล่าขานความเป็นมาอยู่ 2 เรื่อง หนึ่งคือเรื่องของ วาเลนตินัส และนักบุญวาเลนไทน์ ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ต้องจบชีวิตด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือประมาณ 1,728 ปีล่วงมาแล้ว
วาเลนตินัส เป็นผู้นำคริสตชนคนหนึ่งที่มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ทุกๆวันจะนำอาหารและของใช้จำเป็นไปวางไว้หน้าประตูบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นได้รู้ทั้งนี้ในสมัยนั้น การนับถือศาสนาคริสต์เป็นเรื่องต้องห้าม ใครขืนนับถือจะถูกจับติดคุก ต่อมาวาเลนตินัสก็ถูกจับติดคุกเพราะความเป็นคริสต์ ระหว่างอยู่ในคุกได้พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุมคุก เขาอธิษฐานที่เปี่ยมไปด้วยความรักและปรารถนาดีให้สาวคนรักจนตาหายบอด ทำให้ครอบครัวผู้คุมเกิดศรัทธาหันมานับถือคริสต์ จักรพรรดิโรมัน ที่ชื่อคลอดิอุสที่ 2 รู้เข้าโกรธมาก สั่งลงโทษประหาร ก่อนถูกประหารชีวิต วาเลนตินัสเขียนจดหมายถึงคนรัก 1 ฉบับ ลงท้ายจดหมายว่า จากวาเลนตินัสของเธอ
วันที่ถูกประหารคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 คนทั่วไปในยุโรปและอเมริกาประทับใจในความรักของเขา จึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันแห่งความรักวาเลนไทน์
ส่วนอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า "วาเลนไทน์" มาจากชื่อของนักบุญ St. Valentine ในสมัยกษัตริย์คลอดิอุส ที่ 2 แห่งกรุงโรม St. Valentine เป็นบาทหลวงอยู่ที่โบสถ์ใกล้ๆ กรุงโรม สมัยนั้นกษัตริย์คลอดิอุส ที่ 2 ออกกฎห้ามมีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะทรงต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหารเพื่อทำศึกสงคราม สร้างกรุงโรมให้เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง หากผู้ชายที่มีครอบครัวไปเป็นทหารจะมีห่วงและมีอารมณ์อ่อนไหวเกินกว่าจะเป็นนายทหารที่ดี ถ้าหากไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสนใจการรบมากขึ้น
บาทหลวงวาเลนไทน์รู้สึกเห็นอกเห็นใจหนุ่มสาวที่มีความรัก จึงแอบจัดพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานหลายคู่อย่างลับๆ โดยภายในงานจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และบาทหลวง พวกเขาต้องกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ขณะเดียวกัน ก็ต้องเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย
เรื่องรู้ถึงหูคลอดิอุสเข้าจนได้ ในที่สุด นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับเข้าคุกและถูกทรมานอย่างสาหัส ระหว่างที่อยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่บาทหลวงวาเลนไทน์เคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาได้โยนดอกไม้และกระดาษเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก เพื่อให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขามีความเชื่อและศรัทธาในความรักเช่นกัน
ขณะที่ถูกขังอยู่ในคุกรอการประหาร บาทหลวงวาเลนไทน์ได้รู้จักกับผู้คุมชื่อแอสทีเรียส ซึ่งมีลูกสาวตาบอด และขอให้เขาช่วยรักษา เหมือนปาฏิหาริย์เธอสามารถมองเห็นได้อีก ลูกสาวของผู้คุมจึงมักมาเยี่ยมและให้กำลังใจบาทหลวงอยู่เสมอ กระทั่งก่อนเสียชีวิตเขาได้เขียนจดหมายถึงเธอ และลงท้ายว่า "From your Valentine" นักบุญวาเลนไทน์ เสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ในคุกแห่งนั้นนั่นเอง
ต่อมา สันตะปาปา Gelasius ยกย่องให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อรำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์ โดยเฉพาะในเรื่องของ "ความรัก" และ "มิตรภาพ"
จะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของบาทหลวงวาเลนไทน์แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นท่านมีเจตนาเช่นไร ท่านผู้อ่านคงจะมีคำตอบให้กับตนเองแล้ว การจะมีความเชื่อและค่านิยมเช่นใดนั้นทีมงานกรมสุขภาพจิตไม่ขอออกความเห็น เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล แต่การมีค่านิยมความเชื่อที่มีประโยชน์และเป็นคุณกับตนเองและสังคมนั้น ทีมงานขอให้เป็นความเชื่อบนพื้นฐานของ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเหมาะสม และความพร้อมด้านวัยและอื่นๆของหนุ่มสาวเหล่านั้น ประกอบกัน ไม่น่าจะใช่เรื่องหนึ่งเรื่องเดียว เช่นที่หลายคนเป็นห่วงคือเอาเฉพาะความพร้อมของตนเองเท่านั้น ในการจะตัดสินใจใดๆก็ตามเพื่อแสดงออกถึงค่านิยมของตนเอง เพื่อในท้ายที่สุดจะไม่เกิดปัญหาหลายๆอย่างดังที่กล่าวแล้วตอนต้น ที่หลายคนแสดงความเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ นั่นเอง
เรียบเรียงโดย ทีมงานกรมสุขภาพจิต
ดูจากผลการสำรวจล่าสุดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2549 ในเด็กนักเรียนระดับปวช.ใน 20 จังหวัด พบเยาวชนชายร้อยละ 36 และหญิงร้อยละ 28 มีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเพียง 15 ปี และใช้ถุงยางอนามัยเพียงร้อยละ 35 เท่านั้นซึ่งถือว่าต่ำมาก ทำให้วัยรุ่นไทยติดเชื้อเอดส์แล้วกว่า 90,000 คน และมีแนวโน้มจะติดมากขึ้น นอกจากนี้วัยรุ่นอายุ 10-24 ปี ยังมีอัตราติดเชื้อกามโรคสูงขึ้นต่อเนื่องทั้งชายและหญิง จากร้อยละ 23 ใน พ.ศ.2544 เป็นร้อยละ 43 ในปี 2549 จากผู้ป่วยทั้งหมดที่มี 9,735 คน โรคที่พบมากที่สุด คือ โรคหนองใน พบได้เกือบ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยทั้งหมด"
ดูตัวเลขสถิติข้างต้นแล้ว คงทำให้หลายคนมีความเป็นห่วง อย่างไรก็ดี อยากจะให้ท่านผู้อ่านทั้งที่เป็นวัยรุ่น และวัยไม่รุ่นได้ลองมาอ่านบทความดังต่อไปนี้ โดยผู้เขียนหวังว่าอาจจะเปลี่ยนค่านิยมของวัยรุ่นบางคนที่กำลังจะมีค่านิยมที่ผิดเพี้ยนไปดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ได้ทราบความเป็นมา หรือตำนานของวันวาเลนไทน์
ความจริงวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ที่สังคมไทยบางส่วนให้เกียรติยกย่องว่าเป็นวันแห่งความรักนั้น ถือกำเนิดมาไม่ใช่เพื่อให้เด็กสาวต้องเสียพรหมจรรย์ เหมือนกับที่สังคมไทยบางส่วน (อาจจะมากขึ้นด้วย)รับรู้หรือเข้าใจกัน แต่เป็นวันเมตตาและความรักที่บริสุทธิ์ ปราศจากมัวหมองหรือการฉวยโอกาสทั้งสิ้น
มีตำนานเล่าขานความเป็นมาอยู่ 2 เรื่อง หนึ่งคือเรื่องของ วาเลนตินัส และนักบุญวาเลนไทน์ ผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ต้องจบชีวิตด้วยการรับโทษประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หรือประมาณ 1,728 ปีล่วงมาแล้ว
วาเลนตินัส เป็นผู้นำคริสตชนคนหนึ่งที่มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ทุกๆวันจะนำอาหารและของใช้จำเป็นไปวางไว้หน้าประตูบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นได้รู้ทั้งนี้ในสมัยนั้น การนับถือศาสนาคริสต์เป็นเรื่องต้องห้าม ใครขืนนับถือจะถูกจับติดคุก ต่อมาวาเลนตินัสก็ถูกจับติดคุกเพราะความเป็นคริสต์ ระหว่างอยู่ในคุกได้พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุมคุก เขาอธิษฐานที่เปี่ยมไปด้วยความรักและปรารถนาดีให้สาวคนรักจนตาหายบอด ทำให้ครอบครัวผู้คุมเกิดศรัทธาหันมานับถือคริสต์ จักรพรรดิโรมัน ที่ชื่อคลอดิอุสที่ 2 รู้เข้าโกรธมาก สั่งลงโทษประหาร ก่อนถูกประหารชีวิต วาเลนตินัสเขียนจดหมายถึงคนรัก 1 ฉบับ ลงท้ายจดหมายว่า จากวาเลนตินัสของเธอ
วันที่ถูกประหารคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 คนทั่วไปในยุโรปและอเมริกาประทับใจในความรักของเขา จึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันแห่งความรักวาเลนไทน์
ส่วนอีกตำนานหนึ่งเล่าว่า "วาเลนไทน์" มาจากชื่อของนักบุญ St. Valentine ในสมัยกษัตริย์คลอดิอุส ที่ 2 แห่งกรุงโรม St. Valentine เป็นบาทหลวงอยู่ที่โบสถ์ใกล้ๆ กรุงโรม สมัยนั้นกษัตริย์คลอดิอุส ที่ 2 ออกกฎห้ามมีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะทรงต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหารเพื่อทำศึกสงคราม สร้างกรุงโรมให้เป็นอาณาจักรที่รุ่งเรือง หากผู้ชายที่มีครอบครัวไปเป็นทหารจะมีห่วงและมีอารมณ์อ่อนไหวเกินกว่าจะเป็นนายทหารที่ดี ถ้าหากไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสนใจการรบมากขึ้น
บาทหลวงวาเลนไทน์รู้สึกเห็นอกเห็นใจหนุ่มสาวที่มีความรัก จึงแอบจัดพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานหลายคู่อย่างลับๆ โดยภายในงานจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และบาทหลวง พวกเขาต้องกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ขณะเดียวกัน ก็ต้องเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย
เรื่องรู้ถึงหูคลอดิอุสเข้าจนได้ ในที่สุด นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับเข้าคุกและถูกทรมานอย่างสาหัส ระหว่างที่อยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่บาทหลวงวาเลนไทน์เคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ พวกเขาได้โยนดอกไม้และกระดาษเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก เพื่อให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขามีความเชื่อและศรัทธาในความรักเช่นกัน
ขณะที่ถูกขังอยู่ในคุกรอการประหาร บาทหลวงวาเลนไทน์ได้รู้จักกับผู้คุมชื่อแอสทีเรียส ซึ่งมีลูกสาวตาบอด และขอให้เขาช่วยรักษา เหมือนปาฏิหาริย์เธอสามารถมองเห็นได้อีก ลูกสาวของผู้คุมจึงมักมาเยี่ยมและให้กำลังใจบาทหลวงอยู่เสมอ กระทั่งก่อนเสียชีวิตเขาได้เขียนจดหมายถึงเธอ และลงท้ายว่า "From your Valentine" นักบุญวาเลนไทน์ เสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 ในคุกแห่งนั้นนั่นเอง
ต่อมา สันตะปาปา Gelasius ยกย่องให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อรำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์ โดยเฉพาะในเรื่องของ "ความรัก" และ "มิตรภาพ"
จะเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของบาทหลวงวาเลนไทน์แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นท่านมีเจตนาเช่นไร ท่านผู้อ่านคงจะมีคำตอบให้กับตนเองแล้ว การจะมีความเชื่อและค่านิยมเช่นใดนั้นทีมงานกรมสุขภาพจิตไม่ขอออกความเห็น เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล แต่การมีค่านิยมความเชื่อที่มีประโยชน์และเป็นคุณกับตนเองและสังคมนั้น ทีมงานขอให้เป็นความเชื่อบนพื้นฐานของ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเหมาะสม และความพร้อมด้านวัยและอื่นๆของหนุ่มสาวเหล่านั้น ประกอบกัน ไม่น่าจะใช่เรื่องหนึ่งเรื่องเดียว เช่นที่หลายคนเป็นห่วงคือเอาเฉพาะความพร้อมของตนเองเท่านั้น ในการจะตัดสินใจใดๆก็ตามเพื่อแสดงออกถึงค่านิยมของตนเอง เพื่อในท้ายที่สุดจะไม่เกิดปัญหาหลายๆอย่างดังที่กล่าวแล้วตอนต้น ที่หลายคนแสดงความเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้ นั่นเอง
เรียบเรียงโดย ทีมงานกรมสุขภาพจิต
โรคจิตจากอีเฟดรีน
โรคจิตจากอีเฟดรีน
โรคจิตคืออะไร
โรคจิตเป็นคำที่ใช้กับโรคทางจิตเวชหลายโรคที่มีอาการหลงผิด (เช่น หวาดระแวงคนอื่นจะมาทำร้าย เชื่อว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์) และประสาทหลอน (เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน) เป็นอาการหลัก โรคจิตที่มีการกล่าวถึงบ่อย คือ โรคจิตเภท เพราะโรคนี้นอกจากจะรุนแรงเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตในสังคมแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะป่วยแบบเรื้อรังด้วย ในปัจจุบันเรามักแบ่งโรคจิตออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายและไม่ได้เกิดจากการใช้สารใดๆ เช่น โรคจิตเภท และกลุ่มที่เกิดจากโรคทางกายหรือการใช้สารต่างๆ
โรคจิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในปัจจุบัน เรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคจิตที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายและการใช้สาร แต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่สนับสนุนว่ากรรมพันธุ์มีส่วนอย่างมากในการทำให้ป่วยเป็นโรคจิตเภท สำหรับโรคจิตที่เกิดจากโรคทางกายอาจเกิดจากโรคของสมองหรือโรคทางกายที่มีผลต่อสมอง ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติด้านโครงสร้างหรือการทำงานของสมอง เช่น โรคลมชัก ส่วนโรคจิตที่เกิดจากการใช้สาร อาจเกิดจากการใช้ยารักษาโรคหรือยาเสพติดบางชนิด ซึ่งทำให้สมองทำงานผิดปกติ หรือในกรณีที่ใช้สารที่เป็นพิษรุนแรงและต่อเนื่อง เช่น สารระหย สมองบางส่วนอาจถูกทำลายอย่างถาวรได้
โรคจิตจากการใช้สาร
ไม่ว่าโรคจิตจะเกิดจากสาเหตุใด อาการโรคจิตที่เกิดขึ้นมักไม่แตกต่างกัน แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหาสาเหตุจากโรคทางกายและการใช้สารเป็นลำดับแรกก่อน ซึ่งหากไม่พบก็มักสรุปว่าผู้ป่วยเป็นโรคจิตชนิดที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายหรือการใช้สาร ซึ่งในกรณีนี้ หากป่วยเรื้อรังเกิน 6 เดือน ผู้ป่วยรายนั้นก็เข้าได้กับโรคจิตเภท แต่หากแพทย์สามารถตรวจพบโรคทางกายหรือสารที่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการโรคจิต ผู้ป่วยรายนั้นก็จะได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคจิตจากสาเหตุทางกายหรือโรคจิตจากการใช้สาร
สารอะไรบ้างที่อาจทำให้เกิดอาการโรคจิต
ดังกล่าวแล้วว่า ยารักษาโรคและยาเสพติดบางชนิดสามารถก่อให้เกิดอาการโรคจิตได้ แม้ว่าสุราก็สามารถทำให้เกิดอาการโรคจิตได้ (ส่วนใหญ่ในระยะถอนสุรา) แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ยาเสพติดที่พบบ่อยว่าทำให้เกิดอาการโรคจิตคือ ยากระตุ้นประสาทชนิดต่างๆ เช่น แอมเฟตามีน (หรือยาบ้า) ซึ่งมีฤทธิ์ค่อนข้างแรงจึงทำให้เกิดอาการโรคจิตได้เร็วและง่าย แม้ว่าจะเสพไม่มากหรือไม่นาน สำหรับยากระตุ้นประสาทอื่นๆ เช่น ยาอี ก็สามารถทำให้เกิดอาการโรคจิตได้เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ยาลดความอ้วน โดยเฉพาะเฟนเตอร์มีน ก็อาจมีอาการโรคจิตได้
อีเฟดรีนคืออะไร
อีเฟดรีนเป็นสารที่มีโครงสร้างและการออกฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน ในขณะที่แอมเฟตามีนออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าระบบประสาทส่วนปลาย อีเฟดรีนออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนปลายมากกว่าระบบประสาทส่วนกลาง อีเฟดรีนจึงมีฤทธิ์ในการเพิ่มความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจมากกว่าฤทธิ์ที่ออกต่อจิตประสาท
ในอดีตอีเฟดรีนเป็นยาตัวหนึ่งที่สามารถใช้รักษาโรคหอบหืดได้ แต่ในปัจจุบันยารักษาโรคหอบหืดจึงไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป ขณะนี้อีเฟดรีนจึงยังคงมีการใช้อยู่บ้างในรูปของยาหยดใส่จมูกเพื่อลดอาการคัดจมูก สำหรับในรูปของยาฉีดนั้น วิสัญญีแพทย์เกือบจะเป็นแพทย์กลุ่มเดียวที่ยังคงใช้อีเฟดรีนชนิดฉีดอยู่ โดยใช้เพื่อเพิ่มความดันโลหิตในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำจากการได้รับยาทางไขสันหลัง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย ได้จัดให้อีเฟดรีนเป็นสารในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 เช่นเดียวกับยากระตุ้นประสาทอื่นๆ เช่น เฟนเตอร์มีนที่เป็นยาลดความอ้วน และเมทิลฟินิเดทที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้น ซึ่งลักษณะสำคัญของสารในกลุ่มนี้คือ เป็นสารที่จำเป็นสำหรับการรักษาผู้ป่วย แต่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อจิตประสาทและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ ยากลุ่มนี้จึงถูกควบคุมพิเศษ ผู้ใช้ยาไม่สามารถสั่งซื้อยาจากผู้ผลิตได้โดยตรง แต่หากต้องการสั่งซื้อจะต้องขึ้นทะเบียนและสั่งซื้อยาผ่านทาง อย. เท่านั้น
นอกจากอีเฟดรีนในรูปของยาแล้ว สารนี้ยังพบได้ในสมุนไพรต่างๆ (เช่น Ma Huang ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้กันมานานกว่า 5 พันปีแล้ว) และอาหารเสริมบางชนิดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีรายงานการเสียชีวิตและผลเสียทางสุขภาพหลายราย องค์การอาหารและยาในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จึงได้สั่งห้ามจำหน่ายอาหารเสริมที่มีอีเฟดรีนเป็นส่วนประกอบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา แต่เนื่องจากสารนี้ยังเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ที่ประสงค์จะลดน้ำหนักและใช้ยาเป็นยาโด๊ป การแอบจำหน่ายสารนี้อย่างผิดกฎหมายจึงยังคงมีอยู่ในหลายประเทศ
อีเฟดรีนสามารถทำให้เกิดอาการโรคจิตได้หรือไม่
ภาวะแทรกซ้อนทางจิตเวชที่สำคัญของการใช้อีเฟดรีน คือ อาการโรคจิตและอารมณ์แปรปรวน ซึ่งในประเทศไทยเท่าที่ทราบยังไม่มีผู้ใดได้รายงานเรื่องโรคจิตจากอีเฟดรีนลงในวารสารทางการแพทย์มาก่อน แต่ในต่างประเทศได้มีรายงานในเรื่องนี้อยู่บ้าง เช่น Herridge และ A'Brook ได้รายงานผู้ป่วยโรคจิตจากอีเฟดรีนเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1968 จากนั้นก็มีรายงานเพิ่มเติมอีก 2 รายงานในปี ค.ศ. 1977 และ 2004 ส่วนผู้ป่วยที่ได้สารอีเฟดรีนแล้วมีอาการในแง่ของอารมณ์แปรปรวนนั้นก็มีผู้รายงานไว้เมื่อปี ค.ศ. 2002 และ 2004 เช่นกัน โดยมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยแมเนีย (mania) คือ มีอารมณ์ครืนเครงหรือหงุดหงิด ร่วมไปกับมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง พูดมาก นอนน้อย และใช้จ่ายเงินมากผิดปกติ ซึ่งอาจแสดงออกในลักษณะของการใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือย การแจกหรือการบริจาคก็ได้
เนื่องจากอีเฟดรีนเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางที่ไม่รุนแรงเหมือนแอมเฟตามีน โอกาสที่จะก่อให้เกิดอาการโรคจิตจึงมีน้อยมาก อาการโรคจิตจากอีเฟดรีนที่เกิดขึ้นจึงมักเกิดในกรณีที่ใช้ยาในขนาดสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย (เช่น เส้นเลือดแตกในสมอง) ก่อนที่จะเกิดอาการทางจิตประสาท นอกจากนี้ การใช้อีเฟดรีนในทางที่ผิด เช่นใช้เป็นยาเสพติด ก็พบได้น้อยมาก จากเหตุผลดังกล่าวจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมโรคจิตจากอีเฟดรีนจึงเป็นปัญหาที่พบได้น้อยมาก
ในระยะยาวผู้ป่วยโรคจิตจากอีเฟดรีนจะเป็นอย่างไร
เนื่องจากโรคจิตจากอีเฟดรีนพบได้น้อยมาก องค์ความรู้ในเรื่องนี้จึงมีอยู่น้อยมากไปด้วยเช่นกัน การรักษาและการพยากรณ์โรคของโรคจิตจากอีเฟดรีนจึงอาจต้องใช้องค์ความรู้ที่ใกล้เคียงมาเป็นแนวทาง
โดยเหตุที่อีเฟดรีนมีฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน (แม้ว่าจะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางน้อยกว่า) โรคจิตจากอีเฟดรีนจึงน่าจะคล้ายคลึงกับโรคจิตจากแอมเฟตามีน แต่รุนแรงน้อยกว่า และเนื่องจากโรคจิตที่เกิดจากสารจะเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่เกิดการเป็นพิษ (intoxication) หรือการถอนยา (withdrawal) ดังนั้นอาการโรคจิตของผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงน่าจะหายไปอย่างสิ้นเชิงภายใน 4 สัปดาห์หลังการหยุดใช้อีเฟดรีน อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องควรทราบด้วยว่า ในทางการแพทย์ไม่มีอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้สารบางรายจึงอาจมีอาการโรคจิตต่อเนื่องหลังหยุดการใช้สารแล้วเกิน 4 สัปดาห์ก็ได้
บทสรุป
โรคจิตจากอีเฟดรีนน่าจะถือว่าใกล้เคียงกับโรคจิตจากยาลดความอ้วน ผู้ป่วยมีโอกาสสูงมากที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องและสังคมจึงควรให้การประคับประคองผู้ป่วยเพื่อให้สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ โดยไม่เกิดปัญหาด้านการปรับตัวต่อสังคมเมื่หายป่วยแล้ว
******************************
โรคจิตคืออะไร
โรคจิตเป็นคำที่ใช้กับโรคทางจิตเวชหลายโรคที่มีอาการหลงผิด (เช่น หวาดระแวงคนอื่นจะมาทำร้าย เชื่อว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์) และประสาทหลอน (เช่น หูแว่ว เห็นภาพหลอน) เป็นอาการหลัก โรคจิตที่มีการกล่าวถึงบ่อย คือ โรคจิตเภท เพราะโรคนี้นอกจากจะรุนแรงเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตในสังคมแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะป่วยแบบเรื้อรังด้วย ในปัจจุบันเรามักแบ่งโรคจิตออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายและไม่ได้เกิดจากการใช้สารใดๆ เช่น โรคจิตเภท และกลุ่มที่เกิดจากโรคทางกายหรือการใช้สารต่างๆ
โรคจิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในปัจจุบัน เรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคจิตที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายและการใช้สาร แต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่สนับสนุนว่ากรรมพันธุ์มีส่วนอย่างมากในการทำให้ป่วยเป็นโรคจิตเภท สำหรับโรคจิตที่เกิดจากโรคทางกายอาจเกิดจากโรคของสมองหรือโรคทางกายที่มีผลต่อสมอง ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติด้านโครงสร้างหรือการทำงานของสมอง เช่น โรคลมชัก ส่วนโรคจิตที่เกิดจากการใช้สาร อาจเกิดจากการใช้ยารักษาโรคหรือยาเสพติดบางชนิด ซึ่งทำให้สมองทำงานผิดปกติ หรือในกรณีที่ใช้สารที่เป็นพิษรุนแรงและต่อเนื่อง เช่น สารระหย สมองบางส่วนอาจถูกทำลายอย่างถาวรได้
โรคจิตจากการใช้สาร
ไม่ว่าโรคจิตจะเกิดจากสาเหตุใด อาการโรคจิตที่เกิดขึ้นมักไม่แตกต่างกัน แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะหาสาเหตุจากโรคทางกายและการใช้สารเป็นลำดับแรกก่อน ซึ่งหากไม่พบก็มักสรุปว่าผู้ป่วยเป็นโรคจิตชนิดที่ไม่ได้เกิดจากโรคทางกายหรือการใช้สาร ซึ่งในกรณีนี้ หากป่วยเรื้อรังเกิน 6 เดือน ผู้ป่วยรายนั้นก็เข้าได้กับโรคจิตเภท แต่หากแพทย์สามารถตรวจพบโรคทางกายหรือสารที่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการโรคจิต ผู้ป่วยรายนั้นก็จะได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคจิตจากสาเหตุทางกายหรือโรคจิตจากการใช้สาร
สารอะไรบ้างที่อาจทำให้เกิดอาการโรคจิต
ดังกล่าวแล้วว่า ยารักษาโรคและยาเสพติดบางชนิดสามารถก่อให้เกิดอาการโรคจิตได้ แม้ว่าสุราก็สามารถทำให้เกิดอาการโรคจิตได้ (ส่วนใหญ่ในระยะถอนสุรา) แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ยาเสพติดที่พบบ่อยว่าทำให้เกิดอาการโรคจิตคือ ยากระตุ้นประสาทชนิดต่างๆ เช่น แอมเฟตามีน (หรือยาบ้า) ซึ่งมีฤทธิ์ค่อนข้างแรงจึงทำให้เกิดอาการโรคจิตได้เร็วและง่าย แม้ว่าจะเสพไม่มากหรือไม่นาน สำหรับยากระตุ้นประสาทอื่นๆ เช่น ยาอี ก็สามารถทำให้เกิดอาการโรคจิตได้เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ยาลดความอ้วน โดยเฉพาะเฟนเตอร์มีน ก็อาจมีอาการโรคจิตได้
อีเฟดรีนคืออะไร
อีเฟดรีนเป็นสารที่มีโครงสร้างและการออกฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน ในขณะที่แอมเฟตามีนออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าระบบประสาทส่วนปลาย อีเฟดรีนออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนปลายมากกว่าระบบประสาทส่วนกลาง อีเฟดรีนจึงมีฤทธิ์ในการเพิ่มความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการหายใจมากกว่าฤทธิ์ที่ออกต่อจิตประสาท
ในอดีตอีเฟดรีนเป็นยาตัวหนึ่งที่สามารถใช้รักษาโรคหอบหืดได้ แต่ในปัจจุบันยารักษาโรคหอบหืดจึงไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป ขณะนี้อีเฟดรีนจึงยังคงมีการใช้อยู่บ้างในรูปของยาหยดใส่จมูกเพื่อลดอาการคัดจมูก สำหรับในรูปของยาฉีดนั้น วิสัญญีแพทย์เกือบจะเป็นแพทย์กลุ่มเดียวที่ยังคงใช้อีเฟดรีนชนิดฉีดอยู่ โดยใช้เพื่อเพิ่มความดันโลหิตในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำจากการได้รับยาทางไขสันหลัง
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของประเทศไทย ได้จัดให้อีเฟดรีนเป็นสารในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2 เช่นเดียวกับยากระตุ้นประสาทอื่นๆ เช่น เฟนเตอร์มีนที่เป็นยาลดความอ้วน และเมทิลฟินิเดทที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้น ซึ่งลักษณะสำคัญของสารในกลุ่มนี้คือ เป็นสารที่จำเป็นสำหรับการรักษาผู้ป่วย แต่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อจิตประสาทและถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ ยากลุ่มนี้จึงถูกควบคุมพิเศษ ผู้ใช้ยาไม่สามารถสั่งซื้อยาจากผู้ผลิตได้โดยตรง แต่หากต้องการสั่งซื้อจะต้องขึ้นทะเบียนและสั่งซื้อยาผ่านทาง อย. เท่านั้น
นอกจากอีเฟดรีนในรูปของยาแล้ว สารนี้ยังพบได้ในสมุนไพรต่างๆ (เช่น Ma Huang ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้กันมานานกว่า 5 พันปีแล้ว) และอาหารเสริมบางชนิดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีรายงานการเสียชีวิตและผลเสียทางสุขภาพหลายราย องค์การอาหารและยาในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จึงได้สั่งห้ามจำหน่ายอาหารเสริมที่มีอีเฟดรีนเป็นส่วนประกอบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา แต่เนื่องจากสารนี้ยังเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ที่ประสงค์จะลดน้ำหนักและใช้ยาเป็นยาโด๊ป การแอบจำหน่ายสารนี้อย่างผิดกฎหมายจึงยังคงมีอยู่ในหลายประเทศ
อีเฟดรีนสามารถทำให้เกิดอาการโรคจิตได้หรือไม่
ภาวะแทรกซ้อนทางจิตเวชที่สำคัญของการใช้อีเฟดรีน คือ อาการโรคจิตและอารมณ์แปรปรวน ซึ่งในประเทศไทยเท่าที่ทราบยังไม่มีผู้ใดได้รายงานเรื่องโรคจิตจากอีเฟดรีนลงในวารสารทางการแพทย์มาก่อน แต่ในต่างประเทศได้มีรายงานในเรื่องนี้อยู่บ้าง เช่น Herridge และ A'Brook ได้รายงานผู้ป่วยโรคจิตจากอีเฟดรีนเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1968 จากนั้นก็มีรายงานเพิ่มเติมอีก 2 รายงานในปี ค.ศ. 1977 และ 2004 ส่วนผู้ป่วยที่ได้สารอีเฟดรีนแล้วมีอาการในแง่ของอารมณ์แปรปรวนนั้นก็มีผู้รายงานไว้เมื่อปี ค.ศ. 2002 และ 2004 เช่นกัน โดยมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยแมเนีย (mania) คือ มีอารมณ์ครืนเครงหรือหงุดหงิด ร่วมไปกับมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง พูดมาก นอนน้อย และใช้จ่ายเงินมากผิดปกติ ซึ่งอาจแสดงออกในลักษณะของการใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือย การแจกหรือการบริจาคก็ได้
เนื่องจากอีเฟดรีนเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางที่ไม่รุนแรงเหมือนแอมเฟตามีน โอกาสที่จะก่อให้เกิดอาการโรคจิตจึงมีน้อยมาก อาการโรคจิตจากอีเฟดรีนที่เกิดขึ้นจึงมักเกิดในกรณีที่ใช้ยาในขนาดสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย (เช่น เส้นเลือดแตกในสมอง) ก่อนที่จะเกิดอาการทางจิตประสาท นอกจากนี้ การใช้อีเฟดรีนในทางที่ผิด เช่นใช้เป็นยาเสพติด ก็พบได้น้อยมาก จากเหตุผลดังกล่าวจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมโรคจิตจากอีเฟดรีนจึงเป็นปัญหาที่พบได้น้อยมาก
ในระยะยาวผู้ป่วยโรคจิตจากอีเฟดรีนจะเป็นอย่างไร
เนื่องจากโรคจิตจากอีเฟดรีนพบได้น้อยมาก องค์ความรู้ในเรื่องนี้จึงมีอยู่น้อยมากไปด้วยเช่นกัน การรักษาและการพยากรณ์โรคของโรคจิตจากอีเฟดรีนจึงอาจต้องใช้องค์ความรู้ที่ใกล้เคียงมาเป็นแนวทาง
โดยเหตุที่อีเฟดรีนมีฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน (แม้ว่าจะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางน้อยกว่า) โรคจิตจากอีเฟดรีนจึงน่าจะคล้ายคลึงกับโรคจิตจากแอมเฟตามีน แต่รุนแรงน้อยกว่า และเนื่องจากโรคจิตที่เกิดจากสารจะเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่เกิดการเป็นพิษ (intoxication) หรือการถอนยา (withdrawal) ดังนั้นอาการโรคจิตของผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงน่าจะหายไปอย่างสิ้นเชิงภายใน 4 สัปดาห์หลังการหยุดใช้อีเฟดรีน อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องควรทราบด้วยว่า ในทางการแพทย์ไม่มีอะไรแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้สารบางรายจึงอาจมีอาการโรคจิตต่อเนื่องหลังหยุดการใช้สารแล้วเกิน 4 สัปดาห์ก็ได้
บทสรุป
โรคจิตจากอีเฟดรีนน่าจะถือว่าใกล้เคียงกับโรคจิตจากยาลดความอ้วน ผู้ป่วยมีโอกาสสูงมากที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องและสังคมจึงควรให้การประคับประคองผู้ป่วยเพื่อให้สามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ โดยไม่เกิดปัญหาด้านการปรับตัวต่อสังคมเมื่หายป่วยแล้ว
******************************
ผลกระทบเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์
ผลกระทบเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์
โดย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ผลกระทบที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีแอลกอฮอล์ผสม (เช่น ในรูปแบบน้ำผลไม้ที่วางขายกันเต็มท้องตลาด ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ) ทั้งหลายนั้น นอกจากปัญหาทางด้านร่างกาย ซึ่งก็คือ ผลต่อตับ ทำห้เป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือผลต่อหัวใจ ฯลฯ แล้ว อันตรายที่หลายคนอาจจะไม่นึกถึงก็คือผลต่อโรคทางจิตประสาท ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างมากมายมหาศาลได้เช่นกัน
อาการแทรกซ้อนทางจิตประสาทเนื่องจากการใช้แอลกอฮอล์
ความบกพร่องทางสติปัญญา
• ความบกพร่องทางสติปัญญาและการเคลื่อนไหว จะเกิดขึ้นหลังจากการดื่มในแต่ละครั้ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณการดื่มในครั้งนั้นๆ ด้วย
• ความจำเสื่อมแบบไปข้างหน้า หลังการดื่มในปริมาณมากๆ เซลล์สมองถูกทำลายเนื่องจากการใช้แอลกอฮอล์
• ความบกพร่องด้านความจำ ซึ่งรูปแบบที่รุนแรงที่สุดคือ Korsakoff syndrome มีความสัมพันธ์กับการขาดไธอามีน ร่วมกับการได้รับพิษจากแอลกอฮอล์ โดยจะมีอาการความจำเสื่อมในระยะสั้น แต่ละรักษาความจำระยะยาวและการคิดย้อนอดีตได้ดีกว่า
• อาการผิดปกติที่สมองส่วนหน้า ทำให้เกิดความบกพร่องในด้านการคิดรวบยอด การวางแผน และการจัดระบบ
• การฝ่อของสมองส่วนซีรีเบลลั่ม ทำให้เดการเดินเซ ทรงตัวได้ไม่ดี
• ภาวะเลือดใต้เยื่อหุ้มสมอง ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจเกิดหลังจากมีอุบัติเหตุที่ศีรษะซึ่งอาจถูกมองข้ามไปเนื่องจากการได้รับพิษจากแอลกอฮอล์
อันตรายของหลอดเลือดสมอง
• เส้นเลือดในสมองแตก มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการบริโภคแอลกอฮอล์ที่ก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มในปริมาณมากๆ ในคราวเดียวกัน
• หลอดเลือดสมองอุดตัน มีความสัมพันธ์กับการดื่มที่ก่อให้เกิดอันตรายติดต่อกันเป็นเวลานาน
เส้นประสาทส่วนปลายพิการ
• จะมีอาการชาตามเท้า รู้สึกหนาเหมือนใส่ถุงมือถุงเท้า หรือกล้ามเนื้อกลุ่ม Proximal หรือ datal อ่อนกำลังลง การฟื้นตัวจะช้ามาก ประมาณ 1 ปี แม้ว่าจะหยุดดื่มอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ตาม
บาดแผล
• การบาดเจ็บที่ศีรษะ
• ซี่โครงหัก
• กระดูกขนาดยาวหัก
ผลของแอลกอฮอล์ต่อตัวอ่อนในครรภ์
• ในปัจจุบันพบว่าเป็น 1 ใน 2 สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ของการเกิดภาวะปัญญาอ่อนในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ
• ค่าเฉลี่ย IQ ของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์จะอยู่ที่ 70 และจะไม่มีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาเพิ่มขึ้นตามวัย
• ใบหน้าจะมีลักษณะเฉพาะ ได้แก่ สันจมูกยุบ ริมฝีปากบางผิดปกติ ไม่มีกระดูกอ่อนที่กั้นโพรงจมูก
• พบความผิดปกติของหัวใจได้บ่อย
อาการแทรกซ้อนทางสังคมที่เกิดจากการใช้แอลกอฮอล์
ครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
• เสียเพื่อน
• ทำลายความสัมพันธ์กับคู่สมรส และความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดอื่นๆ
• การแยกกันอยู่ หรือการหย่าร้าง
อาชีพ
• ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
• ถูกลดตำแหน่ง
• ถูกไล่ออก
• ว่างงาน
เศรษฐกิจ
• ขาดรายได้ประจำที่เคยได้จากการทำงาน
• เงินทองไม่พอใช้
• เป็นหนี้การพนัน
• ถูกฉ้อโกง ถูกหลอกลวง
กฎหมาย
• ฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามดื่มสุราหรือเสพยาขณะขับรถ
• ถูกยึดใบอนุญาตขับขี่
• มีคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิรน
• ถูกทำร้ายร่างกาย
• ฆ่าตัวตาย
• ทอดทิ้ง ไม่เลี้ยงดูเด็ก
• ขายบริการทางเพศ
แค่ไหนถึงเรียกว่าดื่มไม่มากเกินไป
“มากเกินไป” หมายถึง การดื่มที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาการงานและหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณ และเป็นการดื่มที่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นด้วย
คำถามต่อไปนี้จะช่วยให้คุณคำนึงถึงคำตอบที่ดีกว่าคือ
- แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากเกินไปสำหรับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
- แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากเกินไปเมื่อดื่มเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
การดื่มมากเกินไปในบางโอกาส
ยังไม่มีกฎที่ชัดเจนว่าแค่ไหนถือว่ามากเกินไปสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณและความเร็วที่สุด กับโอกาสที่ดื่มด้วย เช่น อาจเกิดอันตรายได้ถ้าเมแอลกอฮอล์ก่อนขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร หรือในช่วงที่กำลังเลี้ยงเด็ก แต่ในบางกรณี ก็อาจดื่มได้หลายดื่มโดยไม่เกิดอันตราย เช่น ในงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในครอบครัวที่บ้านของตนเอง เป็นต้น
การดื่มมากเกินไปในสถานการณ์หนึ่งอาจทำให้มีผลทางลบตามมาอีกมาก ซึ่งผลที่ตามบางอย่างแม้มันจะอยู่ตนเองไม่นาน เช่น อาการเมาค้าง หรืออาการไม่สบายกายบางอย่าง แต่อาการเหล่านี้อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ ต่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น ในช่วงต่อไปจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับอาการทางกายที่นักดื่มมักจะพบเสมอเมื่อดื่มมากเกินไป
ผลทางลบอย่างรุนแรงที่ตามมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ การได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุ จำไว้ว่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดในระดับสูง จะทำให้หย่อนความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเอง ทำให้การคิดลการตัดสินใจไม่ดี และง่วงซึม ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดปัญหาร้ายแรงอื่นๆ ที่มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและส่งผลกระทบ ที่ร้ายแรงเกินคาด
การดื่มเป็นประจำเป็นเวลานานๆ
การดื่มเป็นประจำเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดปัญหาได้มากมายหลายแบบ ปัญหาหนึ่งที่รุนแรงคือการติดสุรา การดื่มไปเรื่อยๆ จะเกิดการสะสมของแอลกอฮอล์ทำให้เกิดผลเสียขึ้น เช่น ตับจะถูกทำลายเมื่อดื่มจัดแต่กว่าตนจะรู้สึกตัวก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ
รายงานการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การดื่มโดยเฉลี่ยมากกว่าวันละ 4 ดื่มในผู้ชาย หรือมากกว่า 3 ดื่มต่อวันในผู้หญิง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคตับแข็ง แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็ง บางชนิดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหารุนแรงที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ดื่มจัดติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ ปี วิจัยยังแสดงให้เห็นด้วยว่าการดื่มจัดยังทำให้อายุขัยเฉลี่ยของชายและหญิงลดลงอีกหลายปีด้วย
นักดื่มหลายคนที่เคยดื่มวันละ 5-7 ดื่มและมีปัญหามากกว่า 5 ปี นั้นมักจะยังไม่ได้มีปัญหาสุขภาพขั้นร้ายแรง ส่วนใหญ่จะมีปัญหาครอบครัวและปัญหาการงานมากกว่า ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนนิสัยการดื่ม เมื่อพวกเขามาเข้าร่วมโปรแกรมนั้น ระดับการติดแอลกอฮอล์อย่างรุนแรงจะถูกส่งต่อไปรับการบำบัดรักษาจากผู้เชี่ยวชาญต่อไป
แนวทางการลดความเสี่ยงและการหลีกเลี่ยงปัญหาจากการดื่ม
ถ้าการดื่มทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด หรือปัญหาด้านหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือการดื่มทำให้ตนและคนอื่นไม่ปลอดภัย นั่นแสดงว่ามีการดื่มมากเกินไปแล้ว แนวทางต่อไปนี้ จะช่วยให้นักดื่มลดความเสี่ยงจากการดื่ม และสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดจากการดื่มได้
1. ไม่ดื่มเลยในสถานการณ์ต่อไปนี้
• ก่อนขับรถหรือก่อนทำงานที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเองและคนอื่นๆ
• เมื่อกำลังใช้ยาตามแพทย์สั่ง ซึ่งอาจเกิดปฏิกิริยาทางลบเมื่อผสมกับแอลกอฮอล์
• ถ้ามีปัญหาสุขภาพที่จะทรุดหนักลงถ้าดื่มแอลกอฮอล์
• ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร (แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ระบุว่าการดื่มเป้นครั้งคราวจะเป็นอันตรายต่อทารก แต่ก็ขอแนะนำให้อย่าประมาทและอย่าดื่มเลยจะดีกว่า
2. ไม่ดื่มทุกวัน
3. ไม่ดื่มมากกว่า 4 ดื่มต่อวันสำหรับผู้ชาย และไม่มากกว่า 2 ดื่มต่อวันสำหรับผู้หญิง
4. ไม่ดื่มเกิน 1 ดื่มต่อชั่วโมง
5. ไม่ดื่มเกินกว่า 12 ดื่มในแต่ละสัปดาห์สำหรับผู้ชายหรือ 9 ดื่มสำหรับผู้หญิง ทั้งนี้นักดื่มที่ประสบความสำเร็จในการดื่มให้น้อยลงเมื่อเข้าโปรแกรมนี้ มักจะควบคุมการดื่มให้อยู่ในปริมาณ ที่น้อยกว่า 10 ดื่มต่อสัปดาห์เท่านั้น
*******************************************
เอกสารอ้างอิง:จากหนังสือคู่มือการให้การปรึกษาสำหรับผู้ประสบปัญหาแอลกอฮอล์ หน้า 81-85
โดย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ผลกระทบที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีแอลกอฮอล์ผสม (เช่น ในรูปแบบน้ำผลไม้ที่วางขายกันเต็มท้องตลาด ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ) ทั้งหลายนั้น นอกจากปัญหาทางด้านร่างกาย ซึ่งก็คือ ผลต่อตับ ทำห้เป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ หรือผลต่อหัวใจ ฯลฯ แล้ว อันตรายที่หลายคนอาจจะไม่นึกถึงก็คือผลต่อโรคทางจิตประสาท ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างมากมายมหาศาลได้เช่นกัน
อาการแทรกซ้อนทางจิตประสาทเนื่องจากการใช้แอลกอฮอล์
ความบกพร่องทางสติปัญญา
• ความบกพร่องทางสติปัญญาและการเคลื่อนไหว จะเกิดขึ้นหลังจากการดื่มในแต่ละครั้ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปริมาณการดื่มในครั้งนั้นๆ ด้วย
• ความจำเสื่อมแบบไปข้างหน้า หลังการดื่มในปริมาณมากๆ เซลล์สมองถูกทำลายเนื่องจากการใช้แอลกอฮอล์
• ความบกพร่องด้านความจำ ซึ่งรูปแบบที่รุนแรงที่สุดคือ Korsakoff syndrome มีความสัมพันธ์กับการขาดไธอามีน ร่วมกับการได้รับพิษจากแอลกอฮอล์ โดยจะมีอาการความจำเสื่อมในระยะสั้น แต่ละรักษาความจำระยะยาวและการคิดย้อนอดีตได้ดีกว่า
• อาการผิดปกติที่สมองส่วนหน้า ทำให้เกิดความบกพร่องในด้านการคิดรวบยอด การวางแผน และการจัดระบบ
• การฝ่อของสมองส่วนซีรีเบลลั่ม ทำให้เดการเดินเซ ทรงตัวได้ไม่ดี
• ภาวะเลือดใต้เยื่อหุ้มสมอง ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจเกิดหลังจากมีอุบัติเหตุที่ศีรษะซึ่งอาจถูกมองข้ามไปเนื่องจากการได้รับพิษจากแอลกอฮอล์
อันตรายของหลอดเลือดสมอง
• เส้นเลือดในสมองแตก มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการบริโภคแอลกอฮอล์ที่ก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มในปริมาณมากๆ ในคราวเดียวกัน
• หลอดเลือดสมองอุดตัน มีความสัมพันธ์กับการดื่มที่ก่อให้เกิดอันตรายติดต่อกันเป็นเวลานาน
เส้นประสาทส่วนปลายพิการ
• จะมีอาการชาตามเท้า รู้สึกหนาเหมือนใส่ถุงมือถุงเท้า หรือกล้ามเนื้อกลุ่ม Proximal หรือ datal อ่อนกำลังลง การฟื้นตัวจะช้ามาก ประมาณ 1 ปี แม้ว่าจะหยุดดื่มอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ตาม
บาดแผล
• การบาดเจ็บที่ศีรษะ
• ซี่โครงหัก
• กระดูกขนาดยาวหัก
ผลของแอลกอฮอล์ต่อตัวอ่อนในครรภ์
• ในปัจจุบันพบว่าเป็น 1 ใน 2 สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ของการเกิดภาวะปัญญาอ่อนในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ
• ค่าเฉลี่ย IQ ของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์จะอยู่ที่ 70 และจะไม่มีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาเพิ่มขึ้นตามวัย
• ใบหน้าจะมีลักษณะเฉพาะ ได้แก่ สันจมูกยุบ ริมฝีปากบางผิดปกติ ไม่มีกระดูกอ่อนที่กั้นโพรงจมูก
• พบความผิดปกติของหัวใจได้บ่อย
อาการแทรกซ้อนทางสังคมที่เกิดจากการใช้แอลกอฮอล์
ครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
• เสียเพื่อน
• ทำลายความสัมพันธ์กับคู่สมรส และความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดอื่นๆ
• การแยกกันอยู่ หรือการหย่าร้าง
อาชีพ
• ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
• ถูกลดตำแหน่ง
• ถูกไล่ออก
• ว่างงาน
เศรษฐกิจ
• ขาดรายได้ประจำที่เคยได้จากการทำงาน
• เงินทองไม่พอใช้
• เป็นหนี้การพนัน
• ถูกฉ้อโกง ถูกหลอกลวง
กฎหมาย
• ฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามดื่มสุราหรือเสพยาขณะขับรถ
• ถูกยึดใบอนุญาตขับขี่
• มีคดีเกี่ยวกับทรัพย์สิรน
• ถูกทำร้ายร่างกาย
• ฆ่าตัวตาย
• ทอดทิ้ง ไม่เลี้ยงดูเด็ก
• ขายบริการทางเพศ
แค่ไหนถึงเรียกว่าดื่มไม่มากเกินไป
“มากเกินไป” หมายถึง การดื่มที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาการงานและหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณ และเป็นการดื่มที่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นด้วย
คำถามต่อไปนี้จะช่วยให้คุณคำนึงถึงคำตอบที่ดีกว่าคือ
- แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากเกินไปสำหรับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
- แค่ไหนถึงจะเรียกว่ามากเกินไปเมื่อดื่มเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
การดื่มมากเกินไปในบางโอกาส
ยังไม่มีกฎที่ชัดเจนว่าแค่ไหนถือว่ามากเกินไปสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณและความเร็วที่สุด กับโอกาสที่ดื่มด้วย เช่น อาจเกิดอันตรายได้ถ้าเมแอลกอฮอล์ก่อนขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร หรือในช่วงที่กำลังเลี้ยงเด็ก แต่ในบางกรณี ก็อาจดื่มได้หลายดื่มโดยไม่เกิดอันตราย เช่น ในงานเลี้ยงสังสรรค์ภายในครอบครัวที่บ้านของตนเอง เป็นต้น
การดื่มมากเกินไปในสถานการณ์หนึ่งอาจทำให้มีผลทางลบตามมาอีกมาก ซึ่งผลที่ตามบางอย่างแม้มันจะอยู่ตนเองไม่นาน เช่น อาการเมาค้าง หรืออาการไม่สบายกายบางอย่าง แต่อาการเหล่านี้อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ ต่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น ในช่วงต่อไปจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับอาการทางกายที่นักดื่มมักจะพบเสมอเมื่อดื่มมากเกินไป
ผลทางลบอย่างรุนแรงที่ตามมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ การได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุ จำไว้ว่าความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดในระดับสูง จะทำให้หย่อนความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเอง ทำให้การคิดลการตัดสินใจไม่ดี และง่วงซึม ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดปัญหาร้ายแรงอื่นๆ ที่มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและส่งผลกระทบ ที่ร้ายแรงเกินคาด
การดื่มเป็นประจำเป็นเวลานานๆ
การดื่มเป็นประจำเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดปัญหาได้มากมายหลายแบบ ปัญหาหนึ่งที่รุนแรงคือการติดสุรา การดื่มไปเรื่อยๆ จะเกิดการสะสมของแอลกอฮอล์ทำให้เกิดผลเสียขึ้น เช่น ตับจะถูกทำลายเมื่อดื่มจัดแต่กว่าตนจะรู้สึกตัวก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ
รายงานการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การดื่มโดยเฉลี่ยมากกว่าวันละ 4 ดื่มในผู้ชาย หรือมากกว่า 3 ดื่มต่อวันในผู้หญิง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคตับแข็ง แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็ง บางชนิดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหารุนแรงที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ดื่มจัดติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ ปี วิจัยยังแสดงให้เห็นด้วยว่าการดื่มจัดยังทำให้อายุขัยเฉลี่ยของชายและหญิงลดลงอีกหลายปีด้วย
นักดื่มหลายคนที่เคยดื่มวันละ 5-7 ดื่มและมีปัญหามากกว่า 5 ปี นั้นมักจะยังไม่ได้มีปัญหาสุขภาพขั้นร้ายแรง ส่วนใหญ่จะมีปัญหาครอบครัวและปัญหาการงานมากกว่า ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนนิสัยการดื่ม เมื่อพวกเขามาเข้าร่วมโปรแกรมนั้น ระดับการติดแอลกอฮอล์อย่างรุนแรงจะถูกส่งต่อไปรับการบำบัดรักษาจากผู้เชี่ยวชาญต่อไป
แนวทางการลดความเสี่ยงและการหลีกเลี่ยงปัญหาจากการดื่ม
ถ้าการดื่มทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด หรือปัญหาด้านหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือการดื่มทำให้ตนและคนอื่นไม่ปลอดภัย นั่นแสดงว่ามีการดื่มมากเกินไปแล้ว แนวทางต่อไปนี้ จะช่วยให้นักดื่มลดความเสี่ยงจากการดื่ม และสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดจากการดื่มได้
1. ไม่ดื่มเลยในสถานการณ์ต่อไปนี้
• ก่อนขับรถหรือก่อนทำงานที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเองและคนอื่นๆ
• เมื่อกำลังใช้ยาตามแพทย์สั่ง ซึ่งอาจเกิดปฏิกิริยาทางลบเมื่อผสมกับแอลกอฮอล์
• ถ้ามีปัญหาสุขภาพที่จะทรุดหนักลงถ้าดื่มแอลกอฮอล์
• ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร (แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ระบุว่าการดื่มเป้นครั้งคราวจะเป็นอันตรายต่อทารก แต่ก็ขอแนะนำให้อย่าประมาทและอย่าดื่มเลยจะดีกว่า
2. ไม่ดื่มทุกวัน
3. ไม่ดื่มมากกว่า 4 ดื่มต่อวันสำหรับผู้ชาย และไม่มากกว่า 2 ดื่มต่อวันสำหรับผู้หญิง
4. ไม่ดื่มเกิน 1 ดื่มต่อชั่วโมง
5. ไม่ดื่มเกินกว่า 12 ดื่มในแต่ละสัปดาห์สำหรับผู้ชายหรือ 9 ดื่มสำหรับผู้หญิง ทั้งนี้นักดื่มที่ประสบความสำเร็จในการดื่มให้น้อยลงเมื่อเข้าโปรแกรมนี้ มักจะควบคุมการดื่มให้อยู่ในปริมาณ ที่น้อยกว่า 10 ดื่มต่อสัปดาห์เท่านั้น
*******************************************
เอกสารอ้างอิง:จากหนังสือคู่มือการให้การปรึกษาสำหรับผู้ประสบปัญหาแอลกอฮอล์ หน้า 81-85
ยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วน
เครียด-อ้วน โดดสะพาน [ ไทยรัฐ ฉบับ 22 เม.ย. 51 - 04:24]
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 21 เม.ย. พ.ต.ท.ดำรงค์ มาดี สารวัตรเวรสภ.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ รับแจ้งมีหญิงสาวกระโดดลงจากทางขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมจากฝั่งสำโรงใต้จะข้ามไปฝั่งถนนสุขสวัสดิ์.. เสียชีวิตคาที่..
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณใต้ทางขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม พบศพหญิงสาวทราบชื่อภายหลังคือ นางโสภิดา หมู่วิริยะหรืออ้อย อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105/151 หมู่ 1 ต.บางแขยง อ.เมืองปทุมธานี...จุดที่พบศพนางโสภิดา พบรถเก๋งมิตซูบิชิ..ภายในรถพบซองยาแคปซูล 1 ซองมีตัวยาอยู่จำนวนหนึ่ง...
ด้านนางบุปผา มารดาของผู้ตายระบุว่าลูกสาวมาพักค้างคืนที่บ้าน 2 วัน ชอบบ่นเรื่องน้ำหนักตัวให้ฟังเป็นประจำ บอกว่ากำลังกินยาลดความอ้วนอยู่ พวกญาติพี่น้องก็ทักว่าผอมอยู่แล้ว ทำไมต้องกินยาลดอ้วนอีก ผู้ตายซึ่งมีท่าทีวิตกจริตถึงกับโวยพี่น้องลั่นว่า เพื่อนทักว่าอ้วน แต่ญาติกลับบอกว่าผอม ตกลงอ้วนหรือผอมกันแน่ ตนก็พยายามพูดปลอบใจตลอดเวลาแต่ไม่ดีขึ้น เช้าวันเกิดเหตุก็รีบร้อนขับรถออกจากบ้านไปไม่คิดว่าจะฆ่าตัวตายดังกล่าว ....
สนใจรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมอ่านได้ที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์.....คลิกที่นี่ค่ะ.....
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์: เมื่อวันที่ 22 เมษายน นพ.ชาตรี บานชื่น เลขาธิการองค์การอาหารและยา(อย.) แถลงเกี่ยวกับข่าวพบหญิงกระโดดทางด่วนเสียชีวิต เหตุเกิดที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากการรับประทานยาลดความอ้วนนั้น
เลขาธิการ อย.กล่าวต่อว่า ยาลดความอ้วนที่ส่วนใหญ่มักใช้กัน ได้แก่ ยาเฟนเตอมีน ซึ่งเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 ใช้เป็นยาลดความอยากอาหาร ซึ่งจากข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของการรักษากำหนดให้ใช้ในระยะสั้นคือ 4-6 สัปดาห์ และต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือน เพราะมีผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ ยาดังกล่าวยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ อีก ได้แก่ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว หากใช้ไปนานๆ อาจถึงขั้นติดยาได้ หรือทำให้น้ำหนักที่ลดลงคืนกลับมาอีก รวมทั้งอาจพบอาการอื่นๆ อีก คือ ปากแห้ง อาเจียน ท้องผูก เหงื่อออก ตื่นเต้น ม่านตาขยาย ประสาทหลอน อาจทำให้เกิดโรคจิตได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบว่ามีไข้สูง เจ็บหน้าอก การไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก โคม่า และตายได้
"การรับประทานยาลดความอ้วนติดต่อกันเวลานานอาจทำให้เกิดอาการทางจิตและประสาทได้ เหมือนกันคนกินยาบ้า ดังนั้นการใช้ยาลดความอ้วนจะต้องใช้ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น ประชาชนไม่ควรหาซื้อมารับประทานเอง เพราะมีผลกระทบต่อสมองและร่างกายหลายส่วน และมีผลข้างเคียงหลายอย่าง .............
สนใจรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมอ่านได้ที่กรุงเทพธุรกิจออนไลน์.....คลิกที่นี่ค่ะ.....
โรคอ้วนหรือความอ้วนนับเป็นปัญหาสำคัญซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ กล่าวคือ พบความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคและอัตราการตายจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและภาวะไขมันในเส้นเลือด ยาลดความอ้วนจะออกฤทธิ์ทำให้ผู้ป่วย สามารถต้านทานต่อความกดดันทางสรีรวิทยาคือ ความหิว และความกดดันทางด้านจิตใจคือ ความอยากอาหารได้ ซึ่งจะนำไปสู่น้ำหนักที่ลดลงและสุขภาพที่ดีขึ้น
ประเภทของยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วนซึ่งออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางแบ่งออกตามฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาได้เป็นกลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่ออกฤทธิ์ผ่าน catecholamine pathways ได้แก่ Amphetamine, Phenmetrazine (ในปัจจุบันยา 2 ชนิดนี้ เลิกใช้เป็นยาลดความอ้วนแล้ว), Amfepramone (Diethylpropion), Phentermine, Mazindol, Cathine (Norpseudoephedrine) และ Phenylpropanolamine ยาในกลุ่มนี้จะมีฤทธิ์กระตุ้น ระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทซิมพาเธติค
2. กลุ่มที่ออกฤทธิ์ผ่าน serotonin pathways ได้แก่ Fenfluramine, Dexfenfluramine, และ Fluoxetine ยาในกลุ่มนี้จะไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทซิมพาเธติค
ปัจจุบันยาลดความอ้วนที่กล่าวมาข้างต้นถูกควบคุมโดยกฎหมาย 2 ฉบับ โดยพิจารณาจาก ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาเป็นหลัก ทำให้แบ่งยาลดความอ้วนออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มที่ถูกควบคุมโดยพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ได้แก่ Fenfluramine Dexfenfluramine, Fluoxetine และ Phenylpropanolamine
2. กลุ่มที่ถูกควบคุมโดยพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ได้แก่ Amfepramone, Phentermine, Mazindol, Cathine เป็นต้น
อันตรายจากการใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ฯ
เป็นเวลานานกว่า 50 ปีแล้วที่มีการนำเอา Amphetamine มาใช้เป็นยาลดความอ้วน หลังจากที่นำมาใช้ไม่นานก็มีการพัฒนาค้นพบ dextrorotatory isomer ของ Amphetamine ขึ้นมาใช้แทน ซึ่งการค้นพบครั้งหลังนี้มิใช่เป็นเพียงการค้นพบฤทธิ์ในการลดความอยากอาหารเท่านั้น แต่ยังพบฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้มมีความสุข (euphoriant properties) ดังนั้นจึงได้นำไปสู่การค้นพบสารกระตุ้นประสาท เพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิดอีกหลายตัว เช่น Phenmetrazine เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเหตุผลให้หลายประเทศเลิกใช้ amphetamine และ stereoisomer ของมันทุกตัวเป็นยาลดความอ้วน และจำกัดการใช้ในทางการแพทย์ รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ถึงแม้ว่ายาลดความอ้วนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทส่วนกลางน้อยกว่า Amphetamine มากแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Amfepramone, Phentermine, Maziondol หรือ Cathine ก็ตาม แต่ทุกตัวก็จะทำให้ผู้รับประทานเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ กล่าวคือ พบอาการนอนไม่หลับกระวนกระวาย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต็นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้ ท้องผูก
อันตรายอีกประการหนึ่งของการใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มนี้คือ การรับประทานร่วมกันกับ ยาลดความดันโลหิตซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้ง adrenergic nuerons เช่น guanethidine, debrisoquine เป็นต้น เพราะไม่เพียงแต่มันจะไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่ง norepinephine จาก adrenergic nuerns มากขึ้นแล้ว มันยังไปยับยั้งการนำเอา norepinephine กลับเข้าไปเก็บใน nuerons อีกด้วย ดังนั้นจึงทำให้ประสิทธิภาพของยาลดความดันโลหิตกลุ่มดังกล่าวลดลง หากผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องใช้ยาลดความอ้วนจึงควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มอื่น เช่น Fenfluramine หรือ Dexfen fluramine เป็นต้น ด้วยเหตุผลในการออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทซิมพาเธติคนี้เอง เป็นเหตุให้ยาลดความอ้วนกลุ่มนี้มีข้อห้ามใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคต้อหินและผู้มีแนวโน้มของอาการทางจิต
การควบคุมยาลดความอ้วนกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ฯ ในประเทศไทย
กระทรวงสาธารณสุขเริ่มควบคุมยาลดความอ้วนซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 โดยออกประกาศให้ Amferpramone เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นจึงประกาศให้ Mazindol, Phenmetrazine และ Phentermine เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ในปี พ.ศ.2524, N-ethylampheramine ในปี พ.ศ.2525, Fencametamine ในปี พ.ศ.2529 ส่วน Cathine ถูกประกาศเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 ในปี พ.ศ.2529 ต่อมายาดังกล่าวทั้ง 7 ชนิด ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งกฎหมายระบุห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขายนำเข้าและส่งออก ยกเว้นกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้รับมอบหมาย
ดังนั้นการกระจายยาลดความอ้วนกลุ่มดังกล่าวจึงเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี พ.ศ.2536 กล่าวคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงเป็นผู้นำสั่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย เพียงผู้เดียว แล้วส่งต่อไปยังโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ ตามคำขอซื้อของแพทย์ผู้รับอนุญาต ยาลดความอ้วนจะถึงมือประชาชนได้ก็เฉพาะมีคำสั่งของแพทย์เท่านั้น
ในทางทฤษฎี แพทย์จะต้องจัดทำรายงานการสั่งจ่ายยาแก่ผู้ป่วยและรายงานยอดคงเหลือ ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบทุกครั้งก่อนการซื้อยาครั้งต่อไป ทำให้การควบคุมยาลดความอ้วนกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ฯ ในปัจจุบันเป็นไปแบบครบวงจร
แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังไม่เป็นที่ยืนยันแน่นอนว่าแพทย์ผู้รับอนุญาตทุกคนจะได้มีการดูแล ควบคุมการใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มนี้ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือไม่ และในส่วนของสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยาเองก็ไม่ได้มีมาตรการใดๆ ที่จะทำให้ทราบถึงการปฏิบัติอันไม่ถูกต้อง ของสถานพยาบาลต่างๆ ที่สำนักงานฯขออนุญาตให้มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครอง
*******************************************
นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2543 หน้า 104-106
เครียด-อ้วน โดดสะพาน [ ไทยรัฐ ฉบับ 22 เม.ย. 51 - 04:24]
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 21 เม.ย. พ.ต.ท.ดำรงค์ มาดี สารวัตรเวรสภ.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ รับแจ้งมีหญิงสาวกระโดดลงจากทางขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมจากฝั่งสำโรงใต้จะข้ามไปฝั่งถนนสุขสวัสดิ์.. เสียชีวิตคาที่..
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณใต้ทางขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม พบศพหญิงสาวทราบชื่อภายหลังคือ นางโสภิดา หมู่วิริยะหรืออ้อย อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105/151 หมู่ 1 ต.บางแขยง อ.เมืองปทุมธานี...จุดที่พบศพนางโสภิดา พบรถเก๋งมิตซูบิชิ..ภายในรถพบซองยาแคปซูล 1 ซองมีตัวยาอยู่จำนวนหนึ่ง...
ด้านนางบุปผา มารดาของผู้ตายระบุว่าลูกสาวมาพักค้างคืนที่บ้าน 2 วัน ชอบบ่นเรื่องน้ำหนักตัวให้ฟังเป็นประจำ บอกว่ากำลังกินยาลดความอ้วนอยู่ พวกญาติพี่น้องก็ทักว่าผอมอยู่แล้ว ทำไมต้องกินยาลดอ้วนอีก ผู้ตายซึ่งมีท่าทีวิตกจริตถึงกับโวยพี่น้องลั่นว่า เพื่อนทักว่าอ้วน แต่ญาติกลับบอกว่าผอม ตกลงอ้วนหรือผอมกันแน่ ตนก็พยายามพูดปลอบใจตลอดเวลาแต่ไม่ดีขึ้น เช้าวันเกิดเหตุก็รีบร้อนขับรถออกจากบ้านไปไม่คิดว่าจะฆ่าตัวตายดังกล่าว ....
สนใจรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมอ่านได้ที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์.....คลิกที่นี่ค่ะ.....
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์: เมื่อวันที่ 22 เมษายน นพ.ชาตรี บานชื่น เลขาธิการองค์การอาหารและยา(อย.) แถลงเกี่ยวกับข่าวพบหญิงกระโดดทางด่วนเสียชีวิต เหตุเกิดที่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากการรับประทานยาลดความอ้วนนั้น
เลขาธิการ อย.กล่าวต่อว่า ยาลดความอ้วนที่ส่วนใหญ่มักใช้กัน ได้แก่ ยาเฟนเตอมีน ซึ่งเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 ใช้เป็นยาลดความอยากอาหาร ซึ่งจากข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของการรักษากำหนดให้ใช้ในระยะสั้นคือ 4-6 สัปดาห์ และต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือน เพราะมีผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ ยาดังกล่าวยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ อีก ได้แก่ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว หากใช้ไปนานๆ อาจถึงขั้นติดยาได้ หรือทำให้น้ำหนักที่ลดลงคืนกลับมาอีก รวมทั้งอาจพบอาการอื่นๆ อีก คือ ปากแห้ง อาเจียน ท้องผูก เหงื่อออก ตื่นเต้น ม่านตาขยาย ประสาทหลอน อาจทำให้เกิดโรคจิตได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบว่ามีไข้สูง เจ็บหน้าอก การไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ชัก โคม่า และตายได้
"การรับประทานยาลดความอ้วนติดต่อกันเวลานานอาจทำให้เกิดอาการทางจิตและประสาทได้ เหมือนกันคนกินยาบ้า ดังนั้นการใช้ยาลดความอ้วนจะต้องใช้ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น ประชาชนไม่ควรหาซื้อมารับประทานเอง เพราะมีผลกระทบต่อสมองและร่างกายหลายส่วน และมีผลข้างเคียงหลายอย่าง .............
สนใจรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมอ่านได้ที่กรุงเทพธุรกิจออนไลน์.....คลิกที่นี่ค่ะ.....
โรคอ้วนหรือความอ้วนนับเป็นปัญหาสำคัญซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ กล่าวคือ พบความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดโรคและอัตราการตายจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและภาวะไขมันในเส้นเลือด ยาลดความอ้วนจะออกฤทธิ์ทำให้ผู้ป่วย สามารถต้านทานต่อความกดดันทางสรีรวิทยาคือ ความหิว และความกดดันทางด้านจิตใจคือ ความอยากอาหารได้ ซึ่งจะนำไปสู่น้ำหนักที่ลดลงและสุขภาพที่ดีขึ้น
ประเภทของยาลดความอ้วน
ยาลดความอ้วนซึ่งออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางแบ่งออกตามฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาได้เป็นกลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่ออกฤทธิ์ผ่าน catecholamine pathways ได้แก่ Amphetamine, Phenmetrazine (ในปัจจุบันยา 2 ชนิดนี้ เลิกใช้เป็นยาลดความอ้วนแล้ว), Amfepramone (Diethylpropion), Phentermine, Mazindol, Cathine (Norpseudoephedrine) และ Phenylpropanolamine ยาในกลุ่มนี้จะมีฤทธิ์กระตุ้น ระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทซิมพาเธติค
2. กลุ่มที่ออกฤทธิ์ผ่าน serotonin pathways ได้แก่ Fenfluramine, Dexfenfluramine, และ Fluoxetine ยาในกลุ่มนี้จะไม่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทซิมพาเธติค
ปัจจุบันยาลดความอ้วนที่กล่าวมาข้างต้นถูกควบคุมโดยกฎหมาย 2 ฉบับ โดยพิจารณาจาก ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาเป็นหลัก ทำให้แบ่งยาลดความอ้วนออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. กลุ่มที่ถูกควบคุมโดยพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ได้แก่ Fenfluramine Dexfenfluramine, Fluoxetine และ Phenylpropanolamine
2. กลุ่มที่ถูกควบคุมโดยพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ได้แก่ Amfepramone, Phentermine, Mazindol, Cathine เป็นต้น
อันตรายจากการใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ฯ
เป็นเวลานานกว่า 50 ปีแล้วที่มีการนำเอา Amphetamine มาใช้เป็นยาลดความอ้วน หลังจากที่นำมาใช้ไม่นานก็มีการพัฒนาค้นพบ dextrorotatory isomer ของ Amphetamine ขึ้นมาใช้แทน ซึ่งการค้นพบครั้งหลังนี้มิใช่เป็นเพียงการค้นพบฤทธิ์ในการลดความอยากอาหารเท่านั้น แต่ยังพบฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้มมีความสุข (euphoriant properties) ดังนั้นจึงได้นำไปสู่การค้นพบสารกระตุ้นประสาท เพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิดอีกหลายตัว เช่น Phenmetrazine เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเหตุผลให้หลายประเทศเลิกใช้ amphetamine และ stereoisomer ของมันทุกตัวเป็นยาลดความอ้วน และจำกัดการใช้ในทางการแพทย์ รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่ถึงแม้ว่ายาลดความอ้วนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทส่วนกลางน้อยกว่า Amphetamine มากแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Amfepramone, Phentermine, Maziondol หรือ Cathine ก็ตาม แต่ทุกตัวก็จะทำให้ผู้รับประทานเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากไม่ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ กล่าวคือ พบอาการนอนไม่หลับกระวนกระวาย ปวดศีรษะ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต็นเร็ว ปากแห้ง เหงื่อออก คลื่นไส้ ท้องผูก
อันตรายอีกประการหนึ่งของการใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มนี้คือ การรับประทานร่วมกันกับ ยาลดความดันโลหิตซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้ง adrenergic nuerons เช่น guanethidine, debrisoquine เป็นต้น เพราะไม่เพียงแต่มันจะไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่ง norepinephine จาก adrenergic nuerns มากขึ้นแล้ว มันยังไปยับยั้งการนำเอา norepinephine กลับเข้าไปเก็บใน nuerons อีกด้วย ดังนั้นจึงทำให้ประสิทธิภาพของยาลดความดันโลหิตกลุ่มดังกล่าวลดลง หากผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องใช้ยาลดความอ้วนจึงควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มอื่น เช่น Fenfluramine หรือ Dexfen fluramine เป็นต้น ด้วยเหตุผลในการออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทซิมพาเธติคนี้เอง เป็นเหตุให้ยาลดความอ้วนกลุ่มนี้มีข้อห้ามใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคต้อหินและผู้มีแนวโน้มของอาการทางจิต
การควบคุมยาลดความอ้วนกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ฯ ในประเทศไทย
กระทรวงสาธารณสุขเริ่มควบคุมยาลดความอ้วนซึ่งออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 โดยออกประกาศให้ Amferpramone เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นจึงประกาศให้ Mazindol, Phenmetrazine และ Phentermine เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ในปี พ.ศ.2524, N-ethylampheramine ในปี พ.ศ.2525, Fencametamine ในปี พ.ศ.2529 ส่วน Cathine ถูกประกาศเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 ในปี พ.ศ.2529 ต่อมายาดังกล่าวทั้ง 7 ชนิด ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งกฎหมายระบุห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขายนำเข้าและส่งออก ยกเว้นกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้รับมอบหมาย
ดังนั้นการกระจายยาลดความอ้วนกลุ่มดังกล่าวจึงเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี พ.ศ.2536 กล่าวคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงเป็นผู้นำสั่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย เพียงผู้เดียว แล้วส่งต่อไปยังโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ ตามคำขอซื้อของแพทย์ผู้รับอนุญาต ยาลดความอ้วนจะถึงมือประชาชนได้ก็เฉพาะมีคำสั่งของแพทย์เท่านั้น
ในทางทฤษฎี แพทย์จะต้องจัดทำรายงานการสั่งจ่ายยาแก่ผู้ป่วยและรายงานยอดคงเหลือ ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบทุกครั้งก่อนการซื้อยาครั้งต่อไป ทำให้การควบคุมยาลดความอ้วนกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ฯ ในปัจจุบันเป็นไปแบบครบวงจร
แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังไม่เป็นที่ยืนยันแน่นอนว่าแพทย์ผู้รับอนุญาตทุกคนจะได้มีการดูแล ควบคุมการใช้ยาลดความอ้วนกลุ่มนี้ตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือไม่ และในส่วนของสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยาเองก็ไม่ได้มีมาตรการใดๆ ที่จะทำให้ทราบถึงการปฏิบัติอันไม่ถูกต้อง ของสถานพยาบาลต่างๆ ที่สำนักงานฯขออนุญาตให้มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครอง
*******************************************
นิตยสารใกล้หมอปีที่ 24 ฉบับที่ 10 ตุลาคม 2543 หน้า 104-106
Alprazolam พระเอก........หรือผู้ร้าย
Alprazolam พระเอก........หรือผู้ร้าย
โดย สรรพสารวงการยา ปีที่ 6 ฉบับที่ 95 มิถุนายน พ.ศ. 254944-45
Alprazolam พระเอก........หรือผู้ร้าย
จากกรณีที่มีข่าวสารประเภทสองใช้ยานอนหลับใส่เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับประทานจนเสียชีวิตเพื่อหวังปลดทรัพย์สินนั้น ภายหลังจากที่ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบยาชนิดดังกล่าว พบว่าเป็นยาที่มีชื่อสามัญว่า “อัลปราโซแลม” ทางกระทรวงสาธารณสุข โดยผู้เกี่ยวข้องคือ สำนักงานอาหารและอายา ได้จัดแถลงข่าวเกี่ยวกับรายละเอียดของยาดังกล่าวไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ที่ผ่านมา
“อัลปราโซแลม (Alprazolam)” เป็นยาที่จัดอยู่ในกลุ่มเบนโซไดอาซีปีน (Benzodiazopine) เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็วแต่ออกฤทธิ์ไม่นาน ยาตัวนี้ในทางการแพทย์ใช้สำหรับรักษาอาการวิตกกังวลทำให้สงบ ระงับ และช่วยให้นอนหลับ จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 4 โดยผู้ที่มีสิทธิสั่งจ่ายยาดังกล่าวต้องต้องเป็นแพทย์ ทันตแพทย์และสัตวแพทย์เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการคุมเข้มการจัดจำหน่ายยาดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ โดยเชิญผู้ประกอบการผลิต นำเข้าและส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 และ 4 มาประชุมและร่วมลงนามให้สัตยาบันในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
สำหรับการผลิตในแต่ละครั้งผู้ผลิตต้องแจ้งให้ กระทรวงสาธารณสุข ทราบ เพื่อการควบคุมและตรวจสอบ พร้อมทั้งผู้ที่ได้รับอนุญาตทุกรายต้องจัดให้มีการทำบัญชีรับ-จ่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และเสนอรายงานให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาทราบเป็นรายเดือนและรายปี ทั้งนี้บัญชีดังกล่าวต้องเก็บรักษาไว้และพร้อมที่จะแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตลอดเวลาขณะเปิดดำเนินการ ซึ่ง กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการตรวจสอบเป็นประจำกับทางผู้ผลิตนำเข้าและจำหน่าย
นอกจากนี้ทุกๆ ปี กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการตรวจสอบการใช้วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 และ 4 ตามร้านขายยา คลินิกและโรงพยาบาลที่มีการใช้พร้อมกับประสานกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดให้ติดตามตรวจสอบเช่นเดียวกับส่วนกลาง อีกทั้งได้กำชับให้ผู้รับอนุญาตขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
จากการตรวจสอบการกระทำผิดในระหว่างปี พ.ศ. 2547-2549 พบว่าร้านยาและบริษัทมีการกระทำผิดลดลงโดยในปี พ.ศ. 2547 ร้านขายยากระทำความผิดโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 3 ราย บริษัทกระทำความผิดโดยรายงานไม่ถูกต้อง 1 ราย คลินิกและสถานพยาบาลกระทำความผิดโดยรายงานไม่ถูกต้อง 2 ราย แต่ในปี พ.ศ. 2548-2549 ร้านยาและบริษัทไม่พบการกระทำผิด ส่วนคลินิกและสถานพยาบาลพบว่ามีความผิดมากขึ้นคือ ปี พ.ศ. 2548 จำนวน 9 ราย และปี พ.ศ. 2549 จำนวน 11 ราย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด ซึ่งบทลงโทษผู้ผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 โดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท เภสัชกรที่ขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 โดยไม่มีใบสั่งแพทย์หรือละทิ้งหน้าที่ในการควบคุมการขาย มีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท ส่วนผู้ที่จูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม ใช้อุบายหลอกลวงหรือขู่เข็ญให้ผู้อื่นเสพ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-200,000 บาท
ยาอัลปราโซแลม เป็นยาที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการติดยาทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งหากหยุดยาทันทีจะเกิดอาการขาดยาหรือถอนยา เช่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ซึมเศร้า เป็นโรคจิต หรืออาจถึงกับชักได้ หากต้องรับประทานกับยาตัวอื่น เช่น ยากดหรือกระตุ้นประสาท หรือยาคุมกำเนิด ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากมียาหลายชนิดที่มีปฏิกิริยาต่อระดับ Alprazolam ในกระแสเลือดจนทำให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรงได้ และหากรับประทานยาดังกล่าวพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้กดประสาทมากขึ้นและอาจกดการหายใจส่งผลให้เสียชีวิตได้
ยาอัลปราโซแลมที่ใช้ในการแพทย์มีอยู่ด้วยกัน 3 ขนาด คือ ขนาด 0.25 มิลลิกรัม ขนาด 0.5 มิลิกรัม และขนาด 1.0 มิลลิกรัม โดยขนาดในการใช้ขึ้นอยู่กับอาการผู้ป่วย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆไป เช่นในผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับเนื่องจากเครียด แพทย์อาจจะให้ยาอัลปราโซแลม ขนาด 0.25 มิลลิกรัม หรือในผู้ป่วยที่เลิกยาเสพติดแพทย์อาจจะต้องให้ยาอัลปราโซแลม ขนาด 0.5 มิลลิกรัม หรือ 1.0 มิลลิกรัม เป็นต้น ยาตัวนี้เป็นยาออกฤทธิ์เร็ว รับประทานไปประมาณ 20 นาทีก็จะออกฤทธิ์ แต่ฤทธิ์จะคงอยู่ไม่เกิน 1 วัน และหากดื่มน้ำมากๆยาก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ จนกระทั่งหมดไปในที่สุด
สำหรับขนาดของยากลุ่มนี้ที่จะทำให้เสียชีวิตได้ในทางวิทยาศาสตร์มีขอบข่ายความปลอดภัย หรือ Margin of safety กว้างมาก ซึ่งจากการทดลองหาขนาดของยาที่ทำให้เสียชีวิตด้วยตัวยากลุ่มนี้ในสัตว์ พบว่าต้องใช้ยาถึง 1,000 มิลลิกรัมขึ้นไปต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่สูงมาก
อัลปราโซแลม เป็นยาที่เปรียบเสมือนกับเหรียญ 2 ด้าน หากยานี้ตกอยู่ในมือของแพทย์ผู้มีหน้าที่ช่วยชีวิต ยานี้ก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อชีวิตมนุษย์ แต่หากยานี้ตกไปในอยู่ในมือของผู้ที่ต้องการหาประโยชน์จากผู้อื่นในทางที่ไม่ชอบไม่ควร ยาตัวนี้อาจจะกลายเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ได้เช่นกัน
ในโลกของวิทยาศาสตร์ สถานภาพของยา อัลปราโซแลม ก็คือยาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ในโลกของความเป็นจริงสถานภาพของยาตัวนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือของมนุษย์ว่าจะเลือกใช้มันในบทบาทของ พระเอก หรือจะใช้มันในบทบาทของ “ผู้ร้าย”
*******************************************
ที่มาของข้อมูล: โดย สรรพสารวงการยา ปีที่ 6 ฉบับที่ 95 มิถุนายน พ.ศ. 254944-45
โดย สรรพสารวงการยา ปีที่ 6 ฉบับที่ 95 มิถุนายน พ.ศ. 254944-45
Alprazolam พระเอก........หรือผู้ร้าย
จากกรณีที่มีข่าวสารประเภทสองใช้ยานอนหลับใส่เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับประทานจนเสียชีวิตเพื่อหวังปลดทรัพย์สินนั้น ภายหลังจากที่ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบยาชนิดดังกล่าว พบว่าเป็นยาที่มีชื่อสามัญว่า “อัลปราโซแลม” ทางกระทรวงสาธารณสุข โดยผู้เกี่ยวข้องคือ สำนักงานอาหารและอายา ได้จัดแถลงข่าวเกี่ยวกับรายละเอียดของยาดังกล่าวไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 ที่ผ่านมา
“อัลปราโซแลม (Alprazolam)” เป็นยาที่จัดอยู่ในกลุ่มเบนโซไดอาซีปีน (Benzodiazopine) เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็วแต่ออกฤทธิ์ไม่นาน ยาตัวนี้ในทางการแพทย์ใช้สำหรับรักษาอาการวิตกกังวลทำให้สงบ ระงับ และช่วยให้นอนหลับ จัดเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 4 โดยผู้ที่มีสิทธิสั่งจ่ายยาดังกล่าวต้องต้องเป็นแพทย์ ทันตแพทย์และสัตวแพทย์เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการคุมเข้มการจัดจำหน่ายยาดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ โดยเชิญผู้ประกอบการผลิต นำเข้าและส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 และ 4 มาประชุมและร่วมลงนามให้สัตยาบันในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
สำหรับการผลิตในแต่ละครั้งผู้ผลิตต้องแจ้งให้ กระทรวงสาธารณสุข ทราบ เพื่อการควบคุมและตรวจสอบ พร้อมทั้งผู้ที่ได้รับอนุญาตทุกรายต้องจัดให้มีการทำบัญชีรับ-จ่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และเสนอรายงานให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาทราบเป็นรายเดือนและรายปี ทั้งนี้บัญชีดังกล่าวต้องเก็บรักษาไว้และพร้อมที่จะแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตลอดเวลาขณะเปิดดำเนินการ ซึ่ง กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการตรวจสอบเป็นประจำกับทางผู้ผลิตนำเข้าและจำหน่าย
นอกจากนี้ทุกๆ ปี กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการตรวจสอบการใช้วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 และ 4 ตามร้านขายยา คลินิกและโรงพยาบาลที่มีการใช้พร้อมกับประสานกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดให้ติดตามตรวจสอบเช่นเดียวกับส่วนกลาง อีกทั้งได้กำชับให้ผู้รับอนุญาตขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
จากการตรวจสอบการกระทำผิดในระหว่างปี พ.ศ. 2547-2549 พบว่าร้านยาและบริษัทมีการกระทำผิดลดลงโดยในปี พ.ศ. 2547 ร้านขายยากระทำความผิดโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 3 ราย บริษัทกระทำความผิดโดยรายงานไม่ถูกต้อง 1 ราย คลินิกและสถานพยาบาลกระทำความผิดโดยรายงานไม่ถูกต้อง 2 ราย แต่ในปี พ.ศ. 2548-2549 ร้านยาและบริษัทไม่พบการกระทำผิด ส่วนคลินิกและสถานพยาบาลพบว่ามีความผิดมากขึ้นคือ ปี พ.ศ. 2548 จำนวน 9 ราย และปี พ.ศ. 2549 จำนวน 11 ราย ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด ซึ่งบทลงโทษผู้ผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 โดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท เภสัชกรที่ขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 3 หรือ 4 โดยไม่มีใบสั่งแพทย์หรือละทิ้งหน้าที่ในการควบคุมการขาย มีโทษปรับสูงสุด 50,000 บาท ส่วนผู้ที่จูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม ใช้อุบายหลอกลวงหรือขู่เข็ญให้ผู้อื่นเสพ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-200,000 บาท
ยาอัลปราโซแลม เป็นยาที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดการติดยาทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งหากหยุดยาทันทีจะเกิดอาการขาดยาหรือถอนยา เช่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ซึมเศร้า เป็นโรคจิต หรืออาจถึงกับชักได้ หากต้องรับประทานกับยาตัวอื่น เช่น ยากดหรือกระตุ้นประสาท หรือยาคุมกำเนิด ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากมียาหลายชนิดที่มีปฏิกิริยาต่อระดับ Alprazolam ในกระแสเลือดจนทำให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรงได้ และหากรับประทานยาดังกล่าวพร้อมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้กดประสาทมากขึ้นและอาจกดการหายใจส่งผลให้เสียชีวิตได้
ยาอัลปราโซแลมที่ใช้ในการแพทย์มีอยู่ด้วยกัน 3 ขนาด คือ ขนาด 0.25 มิลลิกรัม ขนาด 0.5 มิลิกรัม และขนาด 1.0 มิลลิกรัม โดยขนาดในการใช้ขึ้นอยู่กับอาการผู้ป่วย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกขนาดยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายๆไป เช่นในผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับเนื่องจากเครียด แพทย์อาจจะให้ยาอัลปราโซแลม ขนาด 0.25 มิลลิกรัม หรือในผู้ป่วยที่เลิกยาเสพติดแพทย์อาจจะต้องให้ยาอัลปราโซแลม ขนาด 0.5 มิลลิกรัม หรือ 1.0 มิลลิกรัม เป็นต้น ยาตัวนี้เป็นยาออกฤทธิ์เร็ว รับประทานไปประมาณ 20 นาทีก็จะออกฤทธิ์ แต่ฤทธิ์จะคงอยู่ไม่เกิน 1 วัน และหากดื่มน้ำมากๆยาก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ จนกระทั่งหมดไปในที่สุด
สำหรับขนาดของยากลุ่มนี้ที่จะทำให้เสียชีวิตได้ในทางวิทยาศาสตร์มีขอบข่ายความปลอดภัย หรือ Margin of safety กว้างมาก ซึ่งจากการทดลองหาขนาดของยาที่ทำให้เสียชีวิตด้วยตัวยากลุ่มนี้ในสัตว์ พบว่าต้องใช้ยาถึง 1,000 มิลลิกรัมขึ้นไปต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นขนาดที่สูงมาก
อัลปราโซแลม เป็นยาที่เปรียบเสมือนกับเหรียญ 2 ด้าน หากยานี้ตกอยู่ในมือของแพทย์ผู้มีหน้าที่ช่วยชีวิต ยานี้ก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อชีวิตมนุษย์ แต่หากยานี้ตกไปในอยู่ในมือของผู้ที่ต้องการหาประโยชน์จากผู้อื่นในทางที่ไม่ชอบไม่ควร ยาตัวนี้อาจจะกลายเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ได้เช่นกัน
ในโลกของวิทยาศาสตร์ สถานภาพของยา อัลปราโซแลม ก็คือยาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ในโลกของความเป็นจริงสถานภาพของยาตัวนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือของมนุษย์ว่าจะเลือกใช้มันในบทบาทของ พระเอก หรือจะใช้มันในบทบาทของ “ผู้ร้าย”
*******************************************
ที่มาของข้อมูล: โดย สรรพสารวงการยา ปีที่ 6 ฉบับที่ 95 มิถุนายน พ.ศ. 254944-45
ไอคิว และ อีคิว
ไอคิว และ อีคิว
ศจ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
แหล่งที่มาของข้อมูล : หนังสือ “เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข”
ไอคิว คืออะไร
ไอคิว เป็นคำที่คนทั่วไปรู้จักกันดีว่าหมายถึง ระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาของคน คนไอคิวดีจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง ไอคิวนั้นมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Intelligence Quotient แล้วย่อเป็น IQ คนที่ใช้คำนี้เป็นคนแรกคือ LM Terman เป็นคนอเมริกันใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1916
ไอคิวของมนุษย์แต่ละคนจะได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรม ฉะนั้นพ่อแม่ที่มีไอคิวสูงมักมีลูกไอคิวสูงด้วย แต่บางครั้งพ่อแม่ไอคิวสูงลูกอาจมีไอคิวไม่สูงได้เช่นกัน ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูงลูกจะมีไอคิวไม่สูงเหมือนพ่อแม่ แทบไม่เคยปรากฏว่าพ่อแม่ไอคิวไม่สูงแล้วมีลูกเป็นอัจฉริยะ แต่ในทางตรงข้ามพ่อแม่ที่มีไอคิวสูง บางครั้งอาจมีลูกปัญญาอ่อนได้จากสาเหตุบางประการ
ฉะนั้น ไอคิว จึงเป็นสิ่งติดตัวลูกมาตามธรรมชาติเพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพบว่าประสบการณ์ของชีวิต การศึกษาต่างๆ เปลี่ยนแปลงระดับไอคิวได้น้อยมาก
อีคิว คืออะไร
อีคิว เป็นคำค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับไอคิวแต่อีคิวสามารถดึงดูดความสนใจคนได้มาก ทำให้คนหันมาสนใจคุณสมบัติเรื่องอีคิวของคนอย่างมาก อีคิวเป็นคำมาจากภาษาอังกฤษว่า Emotional Quotient และย่อว่า EQ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นชาวอเมริกันเช่นกันชื่อ Daniel Goleman เขียนเมื่อปี ค.ศ.1995
อีคิว นั้นหมายถึงความสามารถของคนด้านอารมณ์ จิตใจ และยังรวมถึงทักษะการเข้าสังคมด้วย ซึ่งที่จริงก็คือ วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือ ทักษะชีวิต นั่นเอง แต่คนทั่วไปแล้ว จะไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่ซาบซึ้งนักว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์นั้นหมายถึงอะไร จึงไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก จนกระทั่งมีคำว่า อีคิว เกิดขึ้น จึงเป็นคำที่ติดตลาดเหมือนคำว่า ไอคิว คนจึงหันมาสนใจและให้ความสำคัญขึ้นอย่างมากซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว
อีคิว หมายถึง ความสามารถด้านต่างๆ ทางจิตใจ อารมณ์ และสังคมหลายด้าน คนที่มีอีคิวสูงจะมีคุณสมบัติทั่วๆ ไป ดังนี้
- มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
- มีการตัดสินใจที่ดี
- ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
- มีความอดกลั้น
- ไม่หุนหันพลันแล่น
- ทนความผิดหวังได้
- เข้าใจจิตใจของผู้อื่น
- เข้าใจสถานการณ์ทางสังคม
- ไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ง่าย
- สามารถสู้ปัญหาชีวิตได้
- ไม่ปล่อยให้ความเครียดท่วมทับความคิดไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก
เรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับอีคิวและไอคิว คือ
อีคิว เป็นเรื่องที่สอนให้เกิดขึ้นได้ สามารถฝึกฝนให้ลูกของเรามีอีคิวที่ดีขึ้นสูงขึ้น ในขณะที่เราไม่สามารถทำให้ลูกมีไอคิวสูงขึ้น
- คนที่มีอีคิวดีมักจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต ในขณะที่คนมีไอคิวดีอาจมีปัญหาชีวิตมากมายได้
- คนที่มีอีคิวดี มักจะประสบความสำเร็จสูง ในขณะที่คนที่มีไอคิวดีก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนนั้นจะประสบความสำร็จ มีความสุข มีชื่อเสียงเสมอไป
- คนที่มีไอคิวดี มักประสบผลสำเร็จดีมากในการเรียนหนังสือ หรือทำงานด้านวิชาการ แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการ คนไอคิวสูงอาจไม่ประสบผลสำเร็จ เช่น เรื่องชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว หรือชีวิตในสังคม
ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่าการวัดระดับไอคิวของคนที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้นวัดความสามารถของคนเพียงไม่กี่อย่าง การวัดไอคิวจะวัดความสามารถด้านภาษา และการคิดคำนวณเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่จริงแล้วความสามารถของคนนั้นมีมากมายหลายด้าน เช่น ความสามารถด้านต่อไปนี้
- ดนตรี
- กีฬา-การเคลื่อนไหว
- ศิลปะ
- ภาษา
- สังคม
- กาคิดคำนวณ
- เครื่องยนต์กลไก
- ตรรกะ
- การเข้าใจผู้อื่น
- อื่นๆ
คนที่มีความสามารถเด่นๆ เฉพาะทางที่รู้จักกันดีในสังคมโลก เช่น
-Magic Johnson เป็นนักบาสที่เก่งมาก
-Mozart เป็นนักดนตรีระดับโลก
-Martin Luther King Jr. เป็นผู้นำที่มีความสามารถมาก
-Sigmund Freud สามารถเข้าใจเรื่องจิตใจคนอย่างดีเยี่ยม
ฉะนั้นจึงควรส่งเสริมลูกให้พัฒนาความสามารถเฉพาะตัวของเขาให้เต็มที่ถ้ามี ผู้ใหญ่ไม่ควรไปขัดขวางเขาแต่ผู้ใหญ่ควรช่วยเขา
องค์ประกอบของอีคิว
ทักษะทางอารมณ์ หรือ อีคิวของคนอาจจัดได้เป็นเรื่องใหญ่ๆ 5 เรื่อง คือ
1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง
2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง
3. สามารถทำให้ตัวเองมีพลังใจ
4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง
คนที่จะมีทักษะชีวิตที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติข้อนี้ คือเป็นที่รู้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร หรือสามารถติดตามความรู้สึกของตัวเองได้ใน ขณะที่อารมณ์กำลังบังเกิดขึ้นในตัวเรา เช่น รู้สึกว่าเรากำลังเริ่มรู้สึกโกรธ หรือเริ่มรู้สึกไม่พอใจแล้ว ฉะนั้นเราจึงต้องมีการสังเกตตัวเราเองอยู่เสมอ การรู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรจะทำให้คนๆ นั้นควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำอะไรที่มีผลร้ายแรงดังที่เราเคยได้ยินเสมอๆ ว่า “เขาฆ่าคนตายเพราะเกิดบันดาลโทสะ”
การรู้ว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์แบบใดนอกจากจะทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ยังทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากอารมณ์นั้นได้เร็วขึ้น เพราะทำให้เรารู้จักไปหาทางระบายอารมณ์นั้นออกไปอย่างเหมาะสมถูกต้อง
คนที่ไม่รู้จักหรือไม่รู้สึกถึงอารมณ์ตัวเองมากๆ จะไม่สามารถแสดงออกซึ่งอารมณ์ อาจกลายเป็นคนเฉยเมย เป็นคนไม่สนุก ไม่รู้สึกขบขันในเรื่องควรขบขันคือไม่มีอารมณ์ขัน ซึ่งจะกลายเป็นคนน่าเบื่อสำหรับผู้อื่นได้ เพราะเป็นคนจืดชืดไร้สีสัน
วิธีสอนให้ลูกรู้อารมณ์ตัวเองคือ พ่อแม่ต้องคอยสังเกตอารมณ์ลูกและพูดคุยถามถึงอารมณ์ของลูกที่เปลี่ยนไป เช่น พ่อแม่ อาจถามว่า “วันนี้ดูลูกอารมณ์ไม่ดี หนูมีอะไรไม่สบายใจหรือ?” และพ่อแม่เองจะต้องรู้และแสดงอารมณ์ของตัวเองให้เหมาะสมด้วย เช่น พูดว่า “วันนี้แม่รู้สึกหงุดหงิดไปหน่อยนะลูก”
2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง
ทุกคนเมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นแล้วต้อง รู้วิธีที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ อย่างเหมาะสม เช่น เกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์ไม่พอใจอะไรใครจะต้องหาทางออก ไม่ใช่เก็บกดสะสมอารมณ์เหล่านี้ไว้มากๆ ซึ่งจะเกิดอาการทนไม่ไหวแล้วถึงจุดหนึ่งจะระเบิดอารมณ์ออกมารุนแรง โดยทำร้ายคนอื่นหรือทำร้ายตนเอง เช่น ฆ่าตัวตาย
วิธีบริหารอารมณ์หรือวิธีจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือ
- พูดระบาย ให้คนที่พูดด้วยได้รับฟัง ซึ่งคนที่รับฟังมักจะช่วยปลอบใจได้ไม่มาก็น้อย หรือเขาอาจแสดงความเห็นใจด้วย
- ทำความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง โดยคิดไตร่ตรองว่าคนที่ทำให้เราเกิดอารมณ์นี่เขาเป็นอย่างไร มีเหตุผลอะไร มีเจตนาร้ายหรือไม่ หรือเขามีปัญหาอะไร เป็นต้น ถ้าเราสามารถเข้าใจเขาได้ เราอาจเกิดความเห็นใจเขา หรือให้อภัยเขา ซึ่งจะลดลดอารมณ์ของเราลงได้
- หาวิธีผ่อนคลายให้ตัวเอง เช่น อาจไปเล่นกีฬา ร้องเพลง ฟังเพลง เล่นดนตรี เป็นการคลายเครียด
- วิธีอื่นๆ แต่ละคนอาจมีวิธีทำแตกต่างไปบ้าง เช่น บางคนอาจไปเดินเล่น ไปซื้อของ ไปทำงานอดิเรกที่ตัวเองชอบ เป็นต้น
ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องหัดจัดการกับอารมณ์ของตนเองอยู่แล้ว เพราะทุกวันเราจะเกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้น เช่น อารมณ์เบื่อ เศร้า เครียด หงุดหงิด รำคาญ เซ็ง โดยทั่วไปควรจะหากิจกรรมทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว ไปคุยกับเพื่อน และอื่นๆ อีกมาก
วิธีช่วยลูกมีทักษะที่ดี พ่อแม่สามารถทำเป็นตัวอย่าง หรือแนะนำให้ลูกมีงานอดิเรกทำ แนะนำให้ลูกเป็นคนชอบอ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน และที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือถ้าเล่นดนตรีได้จะดีมาก ดนตรีเป็นเพื่อนที่ดีมากของมนุษย์ ถ้ามีโอกาสและลูกชอบ พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกเลือกเรียนดนตรีอย่างหนึ่ง อย่างที่สองคือ การเล่นกีฬา เด็กควรเลือกกีฬาสักอย่างที่ชอบและสามารถเล่นไปได้ตลอดชีวิต เพราะนอกจากจะคลายเครียดยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคต่าง ๆ ได้มาก จนมีคำพูดที่ว่า “กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ”
3. สามารถทำให้ตนเองมีพลัง
คือเป็นคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือแรงใจให้อยากทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต ไม่เป็นคนย่อท้อหมดเรี่ยวแรงง่ายๆ หรือยอมแพ้โดยง่ายดาย สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้มาจากหลายๆ องค์ประกอบ เช่น
- พ่อแม่ปลูกฝังมาให้แต่เด็ก เช่น พ่อแม่ชื่นชมในความสำเร็จของลูก ลูกก็จะกลายเป็นคนอยากมีความสำเร็จ หรือพ่อแม่คอยให้กำลังใจและคอยสนับสนุนเวลาลูกทำอะไรๆ
- การมีทัศนคติที่ดี เช่น พ่อแม่พูดว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” หรือมีทัศนคติว่าคนนั้นต้องมีความพากเพียรทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครได้อะไรมาอย่างง่ายๆ
- วัฒนธรรม หลายวัฒนธรรมสอนเด็กให้เป็นคนขยัน อดทน เช่น วัฒนธรรมจีน
- อารมณ์ คนที่มีอารมณ์ดีจึงจะมีจิตใจอยากทำสิ่งต่างๆ ถ้าเป็นคนมีปัญหาทางจิตใจ มีความขัดแย้งในชีวิตและครอบครัวจะมักไม่มีกำลังใจในการทำงาน
- ความหวัง คนมีพลังใจทำอะไรต่อๆ ไปได้ต้องเป็นคนที่มีความหวังเป็นตัวหล่อเลี้ยงจิตใจให้อยากทำต่อไป
- มองโลกในแง่ดี คนมองโลกในแง่ดีจะสามารถมองหาจุดดีๆ จากทุกๆ อย่างรอบตัวได้ คนนั้นก็จะสามารถมีแรงจูงใจในการทำอะไรต่อไป ตัวอย่างที่เคยได้ยิน เช่น
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทะเลาะกันบ่อยมาก แต่เวลาไม่ทะเลาะกันเพื่อนๆ จะเห็นว่าเขามีความสุขดี แม้ว่าเวลาทะเลาะกันฝ่ายภรรยาจะค่อนข้างกร้าวร้าวและจะชอบเอาจานชามขว้างใส่สามี วันหนึ่งเพื่อนสามีจึงถามสามีว่าเห็นทะเลาะกันบ่อยๆ เหตุใดจึงยังมีความสุขได้ สามีจึงตอบเพื่อนว่ามีความสุขได้ เพราะเวลาภรรยาขว้างจานชามใส่ตน ถ้าตนหลบทันตนก็มีความสุข ส่วนถ้าตนหลบไม่ทันแล้วโดนขว้างภรรยาตนก็มีความสุข
4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
ความสามารถนี้เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับจิตใจผู้อื่นจะขาดไม่ได้เลย เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ แต่ที่จริงแล้วทุกๆ คน เป็นคนที่คนอื่นนิยมชมชอบ เป็นคนที่เพศตรงข้ามชอบ ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นคนที่มีเสน่ห์ และสามารถเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี
ความสามารถนี้ หมายถึง เราสามารถเข้าใจได้หรือรู้ได้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งหมายถึง ความเห็นใจคนอื่น หรือความสามรถที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง การที่คนเราจะสามารถเข้าใจจิตใจผู้อื่นได้เขาจะต้องเข้าใจตัวเขาเองก่อน เขาต้องรู้จักตัวเอง และมีความรู้สึกของตัวเองเสียก่อนว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร จึงจะสามารถ อ่านความรู้สึก ของผู้อื่นได้
การที่จะอ่านความรู้สึกคนอื่นได้ดี จะต้องเป็นคนที่อ่านภาษาท่าทางได้ดี เพราะคนส่วนใหญ่แล้วจะแสดงอารมณ์เป็นภาษาท่าทางมากกว่าการแสดงอารมณ์เป็นคำพูด เช่น คนเวลาโกรธ มักจะแสดงท่าทางโกรธแบบต่างๆ เช่น หน้างอ หน้าบึ้งตึง มีกริยากระแทกกระทั้น เกินกระแทกเท้าโครมๆ ปิดประตูปึงปัง เป็นต้น แต่มีน้อยคนที่เวลาโกรธจะใช้คำพูดแสดงออกมาตรงๆว่า “ฉันกำลังรู้สึกโกรธคุณมากเลย คุณทำอย่านี้ได้อย่างไร”
การอ่านภาษาท่าทางทำได้โดยการสังเกตการแสดงออกของ
- น้ำเสียง เช่น เสียงดุ เสียงหวาน เสียงกัดฟัดพูด
- สีหน้า เช่น สีหน้ายิ้มแย้ม บูดบึ้ง เฉยเมย เคร่งเครียด เหนื่อยหน่าย เศร้า
- แววตา เช่น แจ่มใส เป็นประกาย เคียดแค้น หม่นหมอง อมทุกข์ โศก
- กริยาต่างๆ เช่น ท่านั่ง เบือนหน้าหนี นั่งห่างๆ นั่งเข้ามาใกล้ชิดเกินไป นั่งแบบผ่อนคลาย นั่งกระสับกระส่าย
5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
เป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญอักเช่นกัน เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี แต่ไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์นั้นยั่งยืนยาวนานได้ คือจะต้อง รู้จักหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ ที่มีอยู่ให้มีอยู่ต่อไป ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถในการบริหารจัดการกับความรู้สึกของผู้อื่น โดยทำให้คนอื่นที่อยู่ใกล้เราแล้วเขาเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวเขาเอง และเขาเกิดความรู้สึกที่ดีกับเราด้วย เช่น เราสามารถทำให้เขารู้สึกว่าเรา
- เห็นเขาสำคัญ
- ให้เกียรติเขา
- ยกย่องเขา
- เข้าใจเขา
- เห็นเขามีคุณค่า
- ช่วยเหลือเขา
- เป็นมิตรกับเขา
- หวังดีต่อเขา
- รักเขา
ความสามรถในการรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นยังขึ้นกับว่า เรานั้นสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของเราเองได้ดีแค่ไหน ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกไม่เข้าใจเรา ไม่รู้จักเรา เข้าไม่ถึงเรา ทำให้เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร วางใจได้แค่ไหน จริงใจเพียงใด เป็นต้น
ท้ายที่สุดนี้ ท่านผู้ปกครองที่สนใจข้อมูลข่าวสารเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข ยังสามารถศึกษาเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข ได้จากผลงานการเขียนของ ศาสตราจารย์แพทย์หญิง นงพงา ลิ้มสุวรรณ ได้
************************************************
เอกสารอ้างอิง "ไอคิวและอิคิว"
นงพงา ลิ้มสุวรรณ (2542). ไอคิวและอีคิว. เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข พิมพ์ครั้งที่ 9, กรุงเทพ: พรินท์ติ้งเพรส.
ศจ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
แหล่งที่มาของข้อมูล : หนังสือ “เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข”
ไอคิว คืออะไร
ไอคิว เป็นคำที่คนทั่วไปรู้จักกันดีว่าหมายถึง ระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาของคน คนไอคิวดีจะเป็นคนเก่งมีสมองรับรู้ว่องไว เรียนหนังสือเก่ง ไอคิวนั้นมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Intelligence Quotient แล้วย่อเป็น IQ คนที่ใช้คำนี้เป็นคนแรกคือ LM Terman เป็นคนอเมริกันใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1916
ไอคิวของมนุษย์แต่ละคนจะได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ทางพันธุกรรม ฉะนั้นพ่อแม่ที่มีไอคิวสูงมักมีลูกไอคิวสูงด้วย แต่บางครั้งพ่อแม่ไอคิวสูงลูกอาจมีไอคิวไม่สูงได้เช่นกัน ส่วนพ่อแม่ที่มีไอคิวไม่สูงลูกจะมีไอคิวไม่สูงเหมือนพ่อแม่ แทบไม่เคยปรากฏว่าพ่อแม่ไอคิวไม่สูงแล้วมีลูกเป็นอัจฉริยะ แต่ในทางตรงข้ามพ่อแม่ที่มีไอคิวสูง บางครั้งอาจมีลูกปัญญาอ่อนได้จากสาเหตุบางประการ
ฉะนั้น ไอคิว จึงเป็นสิ่งติดตัวลูกมาตามธรรมชาติเพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพบว่าประสบการณ์ของชีวิต การศึกษาต่างๆ เปลี่ยนแปลงระดับไอคิวได้น้อยมาก
อีคิว คืออะไร
อีคิว เป็นคำค่อนข้างใหม่เมื่อเทียบกับไอคิวแต่อีคิวสามารถดึงดูดความสนใจคนได้มาก ทำให้คนหันมาสนใจคุณสมบัติเรื่องอีคิวของคนอย่างมาก อีคิวเป็นคำมาจากภาษาอังกฤษว่า Emotional Quotient และย่อว่า EQ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นชาวอเมริกันเช่นกันชื่อ Daniel Goleman เขียนเมื่อปี ค.ศ.1995
อีคิว นั้นหมายถึงความสามารถของคนด้านอารมณ์ จิตใจ และยังรวมถึงทักษะการเข้าสังคมด้วย ซึ่งที่จริงก็คือ วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือ ทักษะชีวิต นั่นเอง แต่คนทั่วไปแล้ว จะไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่ซาบซึ้งนักว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์นั้นหมายถึงอะไร จึงไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก จนกระทั่งมีคำว่า อีคิว เกิดขึ้น จึงเป็นคำที่ติดตลาดเหมือนคำว่า ไอคิว คนจึงหันมาสนใจและให้ความสำคัญขึ้นอย่างมากซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว
อีคิว หมายถึง ความสามารถด้านต่างๆ ทางจิตใจ อารมณ์ และสังคมหลายด้าน คนที่มีอีคิวสูงจะมีคุณสมบัติทั่วๆ ไป ดังนี้
- มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
- มีการตัดสินใจที่ดี
- ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
- มีความอดกลั้น
- ไม่หุนหันพลันแล่น
- ทนความผิดหวังได้
- เข้าใจจิตใจของผู้อื่น
- เข้าใจสถานการณ์ทางสังคม
- ไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้ง่าย
- สามารถสู้ปัญหาชีวิตได้
- ไม่ปล่อยให้ความเครียดท่วมทับความคิดไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก
เรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับอีคิวและไอคิว คือ
อีคิว เป็นเรื่องที่สอนให้เกิดขึ้นได้ สามารถฝึกฝนให้ลูกของเรามีอีคิวที่ดีขึ้นสูงขึ้น ในขณะที่เราไม่สามารถทำให้ลูกมีไอคิวสูงขึ้น
- คนที่มีอีคิวดีมักจะเป็นคนที่มีความสุขในชีวิต ในขณะที่คนมีไอคิวดีอาจมีปัญหาชีวิตมากมายได้
- คนที่มีอีคิวดี มักจะประสบความสำเร็จสูง ในขณะที่คนที่มีไอคิวดีก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนนั้นจะประสบความสำร็จ มีความสุข มีชื่อเสียงเสมอไป
- คนที่มีไอคิวดี มักประสบผลสำเร็จดีมากในการเรียนหนังสือ หรือทำงานด้านวิชาการ แต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการ คนไอคิวสูงอาจไม่ประสบผลสำเร็จ เช่น เรื่องชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว หรือชีวิตในสังคม
ทั้งนี้จากเหตุผลที่ว่าการวัดระดับไอคิวของคนที่ทำอยู่ในปัจจุบันนั้นวัดความสามารถของคนเพียงไม่กี่อย่าง การวัดไอคิวจะวัดความสามารถด้านภาษา และการคิดคำนวณเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่จริงแล้วความสามารถของคนนั้นมีมากมายหลายด้าน เช่น ความสามารถด้านต่อไปนี้
- ดนตรี
- กีฬา-การเคลื่อนไหว
- ศิลปะ
- ภาษา
- สังคม
- กาคิดคำนวณ
- เครื่องยนต์กลไก
- ตรรกะ
- การเข้าใจผู้อื่น
- อื่นๆ
คนที่มีความสามารถเด่นๆ เฉพาะทางที่รู้จักกันดีในสังคมโลก เช่น
-Magic Johnson เป็นนักบาสที่เก่งมาก
-Mozart เป็นนักดนตรีระดับโลก
-Martin Luther King Jr. เป็นผู้นำที่มีความสามารถมาก
-Sigmund Freud สามารถเข้าใจเรื่องจิตใจคนอย่างดีเยี่ยม
ฉะนั้นจึงควรส่งเสริมลูกให้พัฒนาความสามารถเฉพาะตัวของเขาให้เต็มที่ถ้ามี ผู้ใหญ่ไม่ควรไปขัดขวางเขาแต่ผู้ใหญ่ควรช่วยเขา
องค์ประกอบของอีคิว
ทักษะทางอารมณ์ หรือ อีคิวของคนอาจจัดได้เป็นเรื่องใหญ่ๆ 5 เรื่อง คือ
1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง
2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง
3. สามารถทำให้ตัวเองมีพลังใจ
4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
1. สามารถรู้อารมณ์ตัวเอง
คนที่จะมีทักษะชีวิตที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติข้อนี้ คือเป็นที่รู้ตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร หรือสามารถติดตามความรู้สึกของตัวเองได้ใน ขณะที่อารมณ์กำลังบังเกิดขึ้นในตัวเรา เช่น รู้สึกว่าเรากำลังเริ่มรู้สึกโกรธ หรือเริ่มรู้สึกไม่พอใจแล้ว ฉะนั้นเราจึงต้องมีการสังเกตตัวเราเองอยู่เสมอ การรู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรจะทำให้คนๆ นั้นควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำอะไรที่มีผลร้ายแรงดังที่เราเคยได้ยินเสมอๆ ว่า “เขาฆ่าคนตายเพราะเกิดบันดาลโทสะ”
การรู้ว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์แบบใดนอกจากจะทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ยังทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากอารมณ์นั้นได้เร็วขึ้น เพราะทำให้เรารู้จักไปหาทางระบายอารมณ์นั้นออกไปอย่างเหมาะสมถูกต้อง
คนที่ไม่รู้จักหรือไม่รู้สึกถึงอารมณ์ตัวเองมากๆ จะไม่สามารถแสดงออกซึ่งอารมณ์ อาจกลายเป็นคนเฉยเมย เป็นคนไม่สนุก ไม่รู้สึกขบขันในเรื่องควรขบขันคือไม่มีอารมณ์ขัน ซึ่งจะกลายเป็นคนน่าเบื่อสำหรับผู้อื่นได้ เพราะเป็นคนจืดชืดไร้สีสัน
วิธีสอนให้ลูกรู้อารมณ์ตัวเองคือ พ่อแม่ต้องคอยสังเกตอารมณ์ลูกและพูดคุยถามถึงอารมณ์ของลูกที่เปลี่ยนไป เช่น พ่อแม่ อาจถามว่า “วันนี้ดูลูกอารมณ์ไม่ดี หนูมีอะไรไม่สบายใจหรือ?” และพ่อแม่เองจะต้องรู้และแสดงอารมณ์ของตัวเองให้เหมาะสมด้วย เช่น พูดว่า “วันนี้แม่รู้สึกหงุดหงิดไปหน่อยนะลูก”
2. สามารถบริหารอารมณ์ตัวเอง
ทุกคนเมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นแล้วต้อง รู้วิธีที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ อย่างเหมาะสม เช่น เกิดอารมณ์โกรธ อารมณ์ไม่พอใจอะไรใครจะต้องหาทางออก ไม่ใช่เก็บกดสะสมอารมณ์เหล่านี้ไว้มากๆ ซึ่งจะเกิดอาการทนไม่ไหวแล้วถึงจุดหนึ่งจะระเบิดอารมณ์ออกมารุนแรง โดยทำร้ายคนอื่นหรือทำร้ายตนเอง เช่น ฆ่าตัวตาย
วิธีบริหารอารมณ์หรือวิธีจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือ
- พูดระบาย ให้คนที่พูดด้วยได้รับฟัง ซึ่งคนที่รับฟังมักจะช่วยปลอบใจได้ไม่มาก็น้อย หรือเขาอาจแสดงความเห็นใจด้วย
- ทำความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง โดยคิดไตร่ตรองว่าคนที่ทำให้เราเกิดอารมณ์นี่เขาเป็นอย่างไร มีเหตุผลอะไร มีเจตนาร้ายหรือไม่ หรือเขามีปัญหาอะไร เป็นต้น ถ้าเราสามารถเข้าใจเขาได้ เราอาจเกิดความเห็นใจเขา หรือให้อภัยเขา ซึ่งจะลดลดอารมณ์ของเราลงได้
- หาวิธีผ่อนคลายให้ตัวเอง เช่น อาจไปเล่นกีฬา ร้องเพลง ฟังเพลง เล่นดนตรี เป็นการคลายเครียด
- วิธีอื่นๆ แต่ละคนอาจมีวิธีทำแตกต่างไปบ้าง เช่น บางคนอาจไปเดินเล่น ไปซื้อของ ไปทำงานอดิเรกที่ตัวเองชอบ เป็นต้น
ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องหัดจัดการกับอารมณ์ของตนเองอยู่แล้ว เพราะทุกวันเราจะเกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้น เช่น อารมณ์เบื่อ เศร้า เครียด หงุดหงิด รำคาญ เซ็ง โดยทั่วไปควรจะหากิจกรรมทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว ไปคุยกับเพื่อน และอื่นๆ อีกมาก
วิธีช่วยลูกมีทักษะที่ดี พ่อแม่สามารถทำเป็นตัวอย่าง หรือแนะนำให้ลูกมีงานอดิเรกทำ แนะนำให้ลูกเป็นคนชอบอ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน และที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือถ้าเล่นดนตรีได้จะดีมาก ดนตรีเป็นเพื่อนที่ดีมากของมนุษย์ ถ้ามีโอกาสและลูกชอบ พ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกเลือกเรียนดนตรีอย่างหนึ่ง อย่างที่สองคือ การเล่นกีฬา เด็กควรเลือกกีฬาสักอย่างที่ชอบและสามารถเล่นไปได้ตลอดชีวิต เพราะนอกจากจะคลายเครียดยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย ซึ่งเป็นการป้องกันโรคต่าง ๆ ได้มาก จนมีคำพูดที่ว่า “กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ”
3. สามารถทำให้ตนเองมีพลัง
คือเป็นคนที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือแรงใจให้อยากทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต ไม่เป็นคนย่อท้อหมดเรี่ยวแรงง่ายๆ หรือยอมแพ้โดยง่ายดาย สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้มาจากหลายๆ องค์ประกอบ เช่น
- พ่อแม่ปลูกฝังมาให้แต่เด็ก เช่น พ่อแม่ชื่นชมในความสำเร็จของลูก ลูกก็จะกลายเป็นคนอยากมีความสำเร็จ หรือพ่อแม่คอยให้กำลังใจและคอยสนับสนุนเวลาลูกทำอะไรๆ
- การมีทัศนคติที่ดี เช่น พ่อแม่พูดว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” หรือมีทัศนคติว่าคนนั้นต้องมีความพากเพียรทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครได้อะไรมาอย่างง่ายๆ
- วัฒนธรรม หลายวัฒนธรรมสอนเด็กให้เป็นคนขยัน อดทน เช่น วัฒนธรรมจีน
- อารมณ์ คนที่มีอารมณ์ดีจึงจะมีจิตใจอยากทำสิ่งต่างๆ ถ้าเป็นคนมีปัญหาทางจิตใจ มีความขัดแย้งในชีวิตและครอบครัวจะมักไม่มีกำลังใจในการทำงาน
- ความหวัง คนมีพลังใจทำอะไรต่อๆ ไปได้ต้องเป็นคนที่มีความหวังเป็นตัวหล่อเลี้ยงจิตใจให้อยากทำต่อไป
- มองโลกในแง่ดี คนมองโลกในแง่ดีจะสามารถมองหาจุดดีๆ จากทุกๆ อย่างรอบตัวได้ คนนั้นก็จะสามารถมีแรงจูงใจในการทำอะไรต่อไป ตัวอย่างที่เคยได้ยิน เช่น
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งทะเลาะกันบ่อยมาก แต่เวลาไม่ทะเลาะกันเพื่อนๆ จะเห็นว่าเขามีความสุขดี แม้ว่าเวลาทะเลาะกันฝ่ายภรรยาจะค่อนข้างกร้าวร้าวและจะชอบเอาจานชามขว้างใส่สามี วันหนึ่งเพื่อนสามีจึงถามสามีว่าเห็นทะเลาะกันบ่อยๆ เหตุใดจึงยังมีความสุขได้ สามีจึงตอบเพื่อนว่ามีความสุขได้ เพราะเวลาภรรยาขว้างจานชามใส่ตน ถ้าตนหลบทันตนก็มีความสุข ส่วนถ้าตนหลบไม่ทันแล้วโดนขว้างภรรยาตนก็มีความสุข
4. สามารถเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
ความสามารถนี้เป็นคุณสมบัติของผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับจิตใจผู้อื่นจะขาดไม่ได้เลย เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ แต่ที่จริงแล้วทุกๆ คน เป็นคนที่คนอื่นนิยมชมชอบ เป็นคนที่เพศตรงข้ามชอบ ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นคนที่มีเสน่ห์ และสามารถเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี
ความสามารถนี้ หมายถึง เราสามารถเข้าใจได้หรือรู้ได้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งหมายถึง ความเห็นใจคนอื่น หรือความสามรถที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง การที่คนเราจะสามารถเข้าใจจิตใจผู้อื่นได้เขาจะต้องเข้าใจตัวเขาเองก่อน เขาต้องรู้จักตัวเอง และมีความรู้สึกของตัวเองเสียก่อนว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร จึงจะสามารถ อ่านความรู้สึก ของผู้อื่นได้
การที่จะอ่านความรู้สึกคนอื่นได้ดี จะต้องเป็นคนที่อ่านภาษาท่าทางได้ดี เพราะคนส่วนใหญ่แล้วจะแสดงอารมณ์เป็นภาษาท่าทางมากกว่าการแสดงอารมณ์เป็นคำพูด เช่น คนเวลาโกรธ มักจะแสดงท่าทางโกรธแบบต่างๆ เช่น หน้างอ หน้าบึ้งตึง มีกริยากระแทกกระทั้น เกินกระแทกเท้าโครมๆ ปิดประตูปึงปัง เป็นต้น แต่มีน้อยคนที่เวลาโกรธจะใช้คำพูดแสดงออกมาตรงๆว่า “ฉันกำลังรู้สึกโกรธคุณมากเลย คุณทำอย่านี้ได้อย่างไร”
การอ่านภาษาท่าทางทำได้โดยการสังเกตการแสดงออกของ
- น้ำเสียง เช่น เสียงดุ เสียงหวาน เสียงกัดฟัดพูด
- สีหน้า เช่น สีหน้ายิ้มแย้ม บูดบึ้ง เฉยเมย เคร่งเครียด เหนื่อยหน่าย เศร้า
- แววตา เช่น แจ่มใส เป็นประกาย เคียดแค้น หม่นหมอง อมทุกข์ โศก
- กริยาต่างๆ เช่น ท่านั่ง เบือนหน้าหนี นั่งห่างๆ นั่งเข้ามาใกล้ชิดเกินไป นั่งแบบผ่อนคลาย นั่งกระสับกระส่าย
5. สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
เป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญอักเช่นกัน เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี แต่ไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์นั้นยั่งยืนยาวนานได้ คือจะต้อง รู้จักหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ ที่มีอยู่ให้มีอยู่ต่อไป ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถในการบริหารจัดการกับความรู้สึกของผู้อื่น โดยทำให้คนอื่นที่อยู่ใกล้เราแล้วเขาเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวเขาเอง และเขาเกิดความรู้สึกที่ดีกับเราด้วย เช่น เราสามารถทำให้เขารู้สึกว่าเรา
- เห็นเขาสำคัญ
- ให้เกียรติเขา
- ยกย่องเขา
- เข้าใจเขา
- เห็นเขามีคุณค่า
- ช่วยเหลือเขา
- เป็นมิตรกับเขา
- หวังดีต่อเขา
- รักเขา
ความสามรถในการรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นยังขึ้นกับว่า เรานั้นสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของเราเองได้ดีแค่ไหน ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกไม่เข้าใจเรา ไม่รู้จักเรา เข้าไม่ถึงเรา ทำให้เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร วางใจได้แค่ไหน จริงใจเพียงใด เป็นต้น
ท้ายที่สุดนี้ ท่านผู้ปกครองที่สนใจข้อมูลข่าวสารเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข ยังสามารถศึกษาเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข ได้จากผลงานการเขียนของ ศาสตราจารย์แพทย์หญิง นงพงา ลิ้มสุวรรณ ได้
************************************************
เอกสารอ้างอิง "ไอคิวและอิคิว"
นงพงา ลิ้มสุวรรณ (2542). ไอคิวและอีคิว. เลี้ยงลูกถูกวิธี ชีวีเป็นสุข พิมพ์ครั้งที่ 9, กรุงเทพ: พรินท์ติ้งเพรส.
หัวเราะบำบัด
หัวเราะบำบัด
โดย DMH Staffs
ฝึกร่างกาย สั่งอวัยวะให้หัวเราะ
การหัวเราะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และหัวเราะบำบัด เป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"
คนเราเมื่ออารมณ์ดี จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในรายงานการตีพิมพ์ของวารสาร The Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ตีพิมพ์งานวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา บอกว่าอารมณ์ของคนเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดีจะช่วยขยายความคิดสร้างสรรค์ให้กว้างขึ้น ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก เคร่งเครียด หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิดจะหดแคบเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดีมีผลต่อกระบวนการคิดและแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา
ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงมาร่วมกันผลิตสารแห่งความสุขผ่านกระบวนการหัวเราะ ซึ่งไม่ว่าท่านจะหัวเราะแบบบำบัด หรือหัวเราะแบบธรรมชาติ ก็เชื่อว่าร่างกายก็จะหลั่งสารชีวเคมนี้ได้ด้วยเช่นกัน
การหัวเราะบำบัดมีหลายแบบ เช่น Lauther Yoga ของอินเดีย ซึ่งผสมผสานระหว่างการหัวเราะและควบคุมการหายใจของโยคะเข้าด้วยกัน และเป็นที่มาของการหัวเราะบำบัดในกว่า 40 ประเทศ หรือกลุ่มหัวเราะในประเทศออสเตรเลีย ที่เดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนทั่วไปด้วยพฤติกรรมตลก สำหรับประเทศไทย ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้คิดค้นการหัวเราะบำบัด โดยผสมผสานการควบคุมการหายใจ การเปล่งเสียงหัวเราะ และการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ให้ผลเชิงสุขภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขัน ใช้เวลาในทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ข้อดีของการหัวเราะ
การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่
ระบบทำงานของสมอง การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญพลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด
ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น
ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation and Cardio-vascular system) การหัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย
ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น
ระบบเจริญพันธุ์ (Reproduction) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม
สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
แนวคิดของการหัวเราะบำบัด
อิงตามหลักของศาสตร์ตะวันออกที่มองทุกอย่างเป็นองค์รวม โดยเน้นฝึกด้วยท่าหัวเราะ หลายๆท่าต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมง เพราะในแต่ละท่าจะมีประโยชน์ต่างกัน โดยใช้เสียง โอ อา อู เอ นำมาประยุกต์ในกระบวนการหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นเสียงพื้นฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก
เสียงโอ/ท้องหัวเราะ เป็นการออกเสียงจากท้อง โดยยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปด้านข้างของลำตัว งอแขนเล็กน้อย กำมือทั้งสองข้างโดยชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น ตามองตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กักลมไว้ จากนั้นค่อยๆเปล่งเสียง “โอ โอะ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงซานตาคลอสหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับขยับแขนขึ้นลง
เสียงอา/อกหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากอก ให้ยืนตรงกางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปข้างลำตัวเหมือนนกกระพือปีก หงายมือขึ้น และปล่อยมือตามสบาย ตามองตรง สูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ ค่อยๆเปล่งเสียง “อา อะ ๆ ๆ…” ดังๆเหมือนเสียงเจ้าพ่อหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับกระพือแขนขึ้นลง
ประโยชน์ของท่าอกหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงอา จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หัวใจ ปอดและไหล่ขยับเขยื้อนไปด้วย ท่านี้จะช่วยให้อวัยวะบริเวณหน้าอกทั้งหมดทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้การสูบฉีดและการไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น
เสียงอู/คอหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากลำคอ เริ่มด้วยยืนตรง กางขาเล็กน้อย แขนแนบลำตัว ยกตั้งฉากชี้ไปข้างหน้า งอนิ้วนางและนิ้วก้อยเข้าหาตัวเอง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นและชี้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปข้างหน้าในลักษณะชิดติดกัน เหมือนท่ายิงปืน ตามองตรง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ แล้วค่อยๆเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงหมาป่าหอน ขณะเดียวกันค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมกับแทงมือไปข้างหน้า
เสียงเอ/ใบหน้าหัวเราะ ท่านี้จะทำแบบสบายๆ โดยยืนตามสบาย ค่อยๆยกมือขึ้นมาตามถนัด สูดลมหายใจลึกๆ แล้วขยับทุกนิ้วทั้งหัวแม่มือ ชี้ กลาง นาง และก้อย ตามองตรง ระหว่างนั้นให้เปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ออกมา เหมือนหยอกล้อเด็ก นอกจากจะได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือแล้วท่านี้ยังช่วยบริหารสมองด้วย
ประโยชน์ของท่าใบหน้าหัวเราะ คนสมัยนี้ชอบคิดมาก บึ้งตึง จึงทำให้เครียด ปวดศีรษะ ปวดสมอง เมื่อเปล่งเสียงเอ ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกำลังฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติ เหมือนเรากำลังเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กตัวเล็กๆ เสียงเอจะทำให้เรายิ้มง่ายขึ้น
ฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเอง
การฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องยาก ขั้นแรก ฝึกหัวเราะโดยมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดูภาพยนตร์ตลก และหัวเราะเสียงดัง จากนั้นฝึกหัวเราะโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น โดยแยกอารมณ์ขันออกจากการหัวเราะ หรือเข้าใจว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจาก "ความรู้สึกตลก" เสมอไป การหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลนี้ให้เริ่มจากหัวเราะคิกคักและหัวเราะเสียงดังด้วยการเปล่งเสียงออกมาจากท้องผ่านลำคอและริมฝีปาก
หากต้องการให้การหัวเราะได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเปล่งเสียงหัวเราะ เพื่อเคลื่อนไหวอวัยวะภายใน 4 ส่วนด้วยการเปล่งเสียงต่างๆ กัน คือเสียง "โอ" ทำให้ภายในท้องขยับ เสียง "อา" ทำให้อกขยับขยาย เสียง "อู" เสียง "เอ" ทำให้ลำคอเปิดโล่ง และช่วยบริหารใบหน้า
ขั้นตอนเริ่มจากหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ เปล่งเสียงเป็นจังหวะเช่น โอ โอ โอ โอ ยาวๆ จนกว่าจะหมดอากาศที่เก็บไว้ สูดหายใจเข้าใหม่ หัวเราะเสียงละ 3 ครั้ง เมื่อออกเสียงเป็นจังหวะแล้วให้บริหารร่างกายไปด้วย เริ่มจากเสียง "โอ" ให้ย่ำเท้าอยู่กับที่ เสียง "อา" ให้ยกแขนขึ้นสูงๆ แล้วโบกไปมา เสียง "อู" ให้ส่ายเอวท่าฮูลาฮูบ เสียง "เอ" ให้หมุนหัวไหล่ โดยทำท่าเหล่านี้ในระหว่างที่หัวเราะด้วย
นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัดอีก ดังนี้
จมูกหัวเราะ ย่นจมูกขึ้นและทำเสียง “ฮึๆ…” ในจมูกเหมือนม้า ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง
ตาหัวเราะ กะพริบตาถี่ๆ กรอกตาขึ้นลงเป็นวงกลม แล้วเปล่งเสียง “อ่อย ๆ ๆ…” เล่นหูเล่นตา มองซ้ายที ขวาที เพื่อการบริหารดวงตาให้ผ่อนคลาย ใครที่มีปัญหาตาแห้งหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ท่านี้จะทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงที่ตา ช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น
สมองหัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยปิดปากแล้วเปล่งเสียง “อึ ๆ ๆ…” ดันให้เกิดการสั่นสะเทือน ขึ้นไปนวดสมอง เมื่อทำเสร็จจะรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย
ไหล่หัวเราะ เป็นการบริหารช่วงไหล่ ยืนตรงแล้วส่ายไหล่ไปมา เหมือนการว่ายน้ำฟรีสไตล์ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับไหล่ ท่านี้ช่วยได้
เอวหรือก้นหัวเราะ ช่วยบริหารบริเวณไขสันหลัง ก้นและสะโพก โดยช่วงกลางลำตัวต้องนิ่งอยู่กับที่ ขณะทำให้แขม่วท้องขมิบก้น พร้อมเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…”
หากวันนี้คุณยังหาวิธีออกกำลังที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกันสิคะ นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวคุณอีกด้วย
*******************************************
ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับ 1 ต.ค. 2549
http://www.pnas.org/
โดย DMH Staffs
ฝึกร่างกาย สั่งอวัยวะให้หัวเราะ
การหัวเราะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และหัวเราะบำบัด เป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"
คนเราเมื่ออารมณ์ดี จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในรายงานการตีพิมพ์ของวารสาร The Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ตีพิมพ์งานวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา บอกว่าอารมณ์ของคนเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดีจะช่วยขยายความคิดสร้างสรรค์ให้กว้างขึ้น ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก เคร่งเครียด หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิดจะหดแคบเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดีมีผลต่อกระบวนการคิดและแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา
ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงมาร่วมกันผลิตสารแห่งความสุขผ่านกระบวนการหัวเราะ ซึ่งไม่ว่าท่านจะหัวเราะแบบบำบัด หรือหัวเราะแบบธรรมชาติ ก็เชื่อว่าร่างกายก็จะหลั่งสารชีวเคมนี้ได้ด้วยเช่นกัน
การหัวเราะบำบัดมีหลายแบบ เช่น Lauther Yoga ของอินเดีย ซึ่งผสมผสานระหว่างการหัวเราะและควบคุมการหายใจของโยคะเข้าด้วยกัน และเป็นที่มาของการหัวเราะบำบัดในกว่า 40 ประเทศ หรือกลุ่มหัวเราะในประเทศออสเตรเลีย ที่เดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนทั่วไปด้วยพฤติกรรมตลก สำหรับประเทศไทย ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้คิดค้นการหัวเราะบำบัด โดยผสมผสานการควบคุมการหายใจ การเปล่งเสียงหัวเราะ และการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ให้ผลเชิงสุขภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขัน ใช้เวลาในทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ข้อดีของการหัวเราะ
การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่
ระบบทำงานของสมอง การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญพลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด
ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น
ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation and Cardio-vascular system) การหัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย
ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น
ระบบเจริญพันธุ์ (Reproduction) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม
สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
แนวคิดของการหัวเราะบำบัด
อิงตามหลักของศาสตร์ตะวันออกที่มองทุกอย่างเป็นองค์รวม โดยเน้นฝึกด้วยท่าหัวเราะ หลายๆท่าต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมง เพราะในแต่ละท่าจะมีประโยชน์ต่างกัน โดยใช้เสียง โอ อา อู เอ นำมาประยุกต์ในกระบวนการหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นเสียงพื้นฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก
เสียงโอ/ท้องหัวเราะ เป็นการออกเสียงจากท้อง โดยยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปด้านข้างของลำตัว งอแขนเล็กน้อย กำมือทั้งสองข้างโดยชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น ตามองตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กักลมไว้ จากนั้นค่อยๆเปล่งเสียง “โอ โอะ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงซานตาคลอสหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับขยับแขนขึ้นลง
เสียงอา/อกหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากอก ให้ยืนตรงกางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปข้างลำตัวเหมือนนกกระพือปีก หงายมือขึ้น และปล่อยมือตามสบาย ตามองตรง สูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ ค่อยๆเปล่งเสียง “อา อะ ๆ ๆ…” ดังๆเหมือนเสียงเจ้าพ่อหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับกระพือแขนขึ้นลง
ประโยชน์ของท่าอกหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงอา จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หัวใจ ปอดและไหล่ขยับเขยื้อนไปด้วย ท่านี้จะช่วยให้อวัยวะบริเวณหน้าอกทั้งหมดทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้การสูบฉีดและการไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น
เสียงอู/คอหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากลำคอ เริ่มด้วยยืนตรง กางขาเล็กน้อย แขนแนบลำตัว ยกตั้งฉากชี้ไปข้างหน้า งอนิ้วนางและนิ้วก้อยเข้าหาตัวเอง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นและชี้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปข้างหน้าในลักษณะชิดติดกัน เหมือนท่ายิงปืน ตามองตรง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ แล้วค่อยๆเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงหมาป่าหอน ขณะเดียวกันค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมกับแทงมือไปข้างหน้า
เสียงเอ/ใบหน้าหัวเราะ ท่านี้จะทำแบบสบายๆ โดยยืนตามสบาย ค่อยๆยกมือขึ้นมาตามถนัด สูดลมหายใจลึกๆ แล้วขยับทุกนิ้วทั้งหัวแม่มือ ชี้ กลาง นาง และก้อย ตามองตรง ระหว่างนั้นให้เปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ออกมา เหมือนหยอกล้อเด็ก นอกจากจะได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือแล้วท่านี้ยังช่วยบริหารสมองด้วย
ประโยชน์ของท่าใบหน้าหัวเราะ คนสมัยนี้ชอบคิดมาก บึ้งตึง จึงทำให้เครียด ปวดศีรษะ ปวดสมอง เมื่อเปล่งเสียงเอ ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกำลังฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติ เหมือนเรากำลังเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กตัวเล็กๆ เสียงเอจะทำให้เรายิ้มง่ายขึ้น
ฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเอง
การฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องยาก ขั้นแรก ฝึกหัวเราะโดยมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดูภาพยนตร์ตลก และหัวเราะเสียงดัง จากนั้นฝึกหัวเราะโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น โดยแยกอารมณ์ขันออกจากการหัวเราะ หรือเข้าใจว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจาก "ความรู้สึกตลก" เสมอไป การหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลนี้ให้เริ่มจากหัวเราะคิกคักและหัวเราะเสียงดังด้วยการเปล่งเสียงออกมาจากท้องผ่านลำคอและริมฝีปาก
หากต้องการให้การหัวเราะได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเปล่งเสียงหัวเราะ เพื่อเคลื่อนไหวอวัยวะภายใน 4 ส่วนด้วยการเปล่งเสียงต่างๆ กัน คือเสียง "โอ" ทำให้ภายในท้องขยับ เสียง "อา" ทำให้อกขยับขยาย เสียง "อู" เสียง "เอ" ทำให้ลำคอเปิดโล่ง และช่วยบริหารใบหน้า
ขั้นตอนเริ่มจากหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ เปล่งเสียงเป็นจังหวะเช่น โอ โอ โอ โอ ยาวๆ จนกว่าจะหมดอากาศที่เก็บไว้ สูดหายใจเข้าใหม่ หัวเราะเสียงละ 3 ครั้ง เมื่อออกเสียงเป็นจังหวะแล้วให้บริหารร่างกายไปด้วย เริ่มจากเสียง "โอ" ให้ย่ำเท้าอยู่กับที่ เสียง "อา" ให้ยกแขนขึ้นสูงๆ แล้วโบกไปมา เสียง "อู" ให้ส่ายเอวท่าฮูลาฮูบ เสียง "เอ" ให้หมุนหัวไหล่ โดยทำท่าเหล่านี้ในระหว่างที่หัวเราะด้วย
นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัดอีก ดังนี้
จมูกหัวเราะ ย่นจมูกขึ้นและทำเสียง “ฮึๆ…” ในจมูกเหมือนม้า ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง
ตาหัวเราะ กะพริบตาถี่ๆ กรอกตาขึ้นลงเป็นวงกลม แล้วเปล่งเสียง “อ่อย ๆ ๆ…” เล่นหูเล่นตา มองซ้ายที ขวาที เพื่อการบริหารดวงตาให้ผ่อนคลาย ใครที่มีปัญหาตาแห้งหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ท่านี้จะทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงที่ตา ช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น
สมองหัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยปิดปากแล้วเปล่งเสียง “อึ ๆ ๆ…” ดันให้เกิดการสั่นสะเทือน ขึ้นไปนวดสมอง เมื่อทำเสร็จจะรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย
ไหล่หัวเราะ เป็นการบริหารช่วงไหล่ ยืนตรงแล้วส่ายไหล่ไปมา เหมือนการว่ายน้ำฟรีสไตล์ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับไหล่ ท่านี้ช่วยได้
เอวหรือก้นหัวเราะ ช่วยบริหารบริเวณไขสันหลัง ก้นและสะโพก โดยช่วงกลางลำตัวต้องนิ่งอยู่กับที่ ขณะทำให้แขม่วท้องขมิบก้น พร้อมเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…”
หากวันนี้คุณยังหาวิธีออกกำลังที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกันสิคะ นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวคุณอีกด้วย
*******************************************
ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับ 1 ต.ค. 2549
http://www.pnas.org/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ป้ายกำกับ
กระสุนเดนตาย
(1)
กราบ
(1)
กษัตริย์
(1)
กำลังภายใน
(1)
กุหลาบ
(1)
แก้มป่อง
(1)
แกร่งสุดมหาบุรุษรูสเวลท์
(1)
ขอให้เรา
(1)
ขาวสวย
(35)
ขาวสะพรั่ง
(1)
คนแกร่ง
(1)
คนงาม
(31)
คนพันธุ์เหล็ก
(1)
คนเล็กอิทธิฤทธิ์หญ่าย
(1)
คนอึด
(1)
คนอึดตายยาก
(1)
คอบร้าทมิฬ
(1)
คู่กรรม
(1)
คู่ซี้ดีแต่ฝัน
(1)
เคนชิน
(1)
แคทรียา
(1)
แค้นได้
(1)
โคตรคน
(1)
ฆ่าข้ามโลก
(1)
ฆ่าไม่เลี้ยง
(1)
งามตา
(1)
งามฝุดฝุด
(10)
จริงจังเท่าใด
(1)
จังโก้
(1)
จันดารา
(1)
จากพระเจ้า
(1)
จางคยูซอง
(1)
จำปาขาว
(2)
จีไอโจ 2
(1)
จุกเสียดจากกรดไหลย้อน
(1)
เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
(1)
ใจสู้หรือเปล่า
(1)
ฉันตาย
(1)
ชีวิตของแม่
(1)
โชคดี
(1)
โชคดีมีผัว
(1)
ซอมบี้ที่รัก
(1)
ซามูไร
(1)
ไซอิ๋ว
(1)
ดวงตา
(1)
ดื่มสุรา
(1)
เด็กไฮ
(1)
แด่เธอที่รัก
(1)
แดนเถื่อน
(1)
แด่รัก
(1)
ต้องกลับมาอึด
(1)
ต้องยึดร่าง
(1)
ตอน
(1)
ตางาม
(3)
ตายไม่เป็น
(1)
ตาหวาน
(7)
ติวรัก
(1)
แตกหยาบ
(1)
ท้องผูก
(1)
ทองสุข
(1)
ท้าหัวใจ
(1)
โทรศัพท์
(1)
ไทยแลนด์
(1)
ธรรมะเพื่อประชาชน
(1)
นวลขาว
(4)
นักล่าแม่มดพันธ์ดิบ
(1)
นักศึกษา
(4)
นางสวรรค์
(2)
น่ารัก
(20)
นิยามรักปฎิวัติ
(1)
เนียนนวล
(2)
บ่มีเจ็บ
(1)
บ่มีรัก
(1)
บุรุษลวงหัวใจ
(1)
เบอร์ลิน
(1)
ปฏิทิน
(1)
ปล้นมหากาฬ
(1)
ปวดข้อ
(1)
ปวดประจำเดือน
(1)
ปวดหัวไมเกรน
(1)
ปัจจัยเสี่ยง
(1)
ปัจฉิมบท
(1)
ปัญญา
(1)
ปาฎิหาริย์
(1)
ปาร์ตี้ชะนี
(1)
ปาร์ตี้รั่วเวอร์
(1)
เปิดตัว
(1)
ผด
(1)
ผมยาว
(3)
ผิวพรรณ
(1)
ผิวแห้ง
(1)
ผีหวงลูก
(1)
ผื่น
(1)
ผู้ยิ่งใหญ่
(1)
แผ่นดินวิปโยค
(1)
พยัคฆ์ร้ายกิโยติน
(1)
พระโขนง
(1)
พลิกชะตา
(1)
พ่อมด
(1)
พ่อสั่งมาฟัด
(1)
พิฆาตอธรรม
(1)
พี่มาก
(1)
แพร่พันธุ์สยอง
(1)
ฟิลม์แซด
(1)
มหัศจรรย์
(2)
มหาวินาศ
(1)
มะเร็งเต้านม
(1)
มิเซราบล์
(1)
มิสเตอร์แสบ
(1)
เมนูของพ่อ
(1)
แม่
(1)
แม่สาว
(1)
ไม่สิ้นหวัง
(1)
ยอดปรมาจารย์
(1)
ยิปมัน
(1)
ยิ้มงาม
(4)
ยุทธการถล่ม
(1)
รสหอมหวล
(1)
รหัสลับ
(1)
ระห่ำ
(1)
ระห่ำแค้น
(1)
ระอุเดือด
(1)
รักแท้หยุดไว้ที่เธอ
(1)
รักเราปาฏิหาริย์
(1)
รักษาใจ
(1)
รับคำท้า
(1)
ร้ายเกินพิกัด
(1)
รูปร่าง
(1)
รูปูรูปี
(1)
เรณู
(1)
โรคผิวหนัง
(1)
ฤดูร้อนนั้น
(1)
ลาวปากเซ
(2)
ลูกกตัญญู
(1)
วันพีซ
(1)
วัยสาว
(8)
วิชาหัวใจ
(1)
วิธีดื่มน้ำ
(1)
วีรบุรุษหมัดเหล็ก
(1)
สงคราม
(1)
สวยใส
(3)
สวรรค์แห่งนี้
(1)
สะเก็ดเงิน
(1)
สักวัน
(1)
สังเวียนเดือด
(1)
สัญญารัก
(1)
สารวัตร
(1)
สาวคนเก่ง
(6)
สาวงาม
(56)
สาวจำปา
(1)
สาวชาวสวน
(2)
สาวชุดเขียว
(1)
สาวน้อย
(1)
สาวลาว
(115)
สาววัยรุ่น
(4)
สาวสวย
(50)
สาวหวาน
(32)
สาวเอวบา
(2)
สิงหาต้องสับ
(1)
สุขภาพดี
(2)
สูบบุหรี่
(1)
สู้เพื่อดวงใจอันยิ่งใหญ่
(1)
หน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์
(1)
หน้ากาก
(1)
หมอสาว
(1)
หมาบ้า
(1)
หมายเลข 7
(1)
หมีขั้วโลก
(1)
หล่อลากไส้
(1)
หวานตา
(10)
ห้องขัง
(1)
หัวใจ
(1)
หัวใจแข็งแรง
(1)
อยากฟังคำว่ารัก
(1)
ออกกำลังกาย
(2)
อ่อนหวาน
(3)
อ้อยหวาน
(1)
อัตราการเสี่ยง
(1)
อาร์คติก
(1)
ไอโฟน 5C
(1)
ไอโฟน 6
(1)
Apple
(1)
Apple A8
(1)
Arctic
(1)
Berlin
(1)
Beyond
(1)
Bodies
(1)
Boy
(1)
Chi
(1)
Choice
(1)
Conquering
(1)
Dangerous
(1)
Dead
(1)
Demons
(1)
Despicable
(1)
Django
(1)
Down
(1)
File
(1)
Film Z
(1)
Forgives
(1)
Galaxy
(1)
Galaxy Grand
(1)
Galaxy S4
(1)
Galaxy S4Zoom
(1)
Gatsby
(1)
God
(1)
Great
(1)
Honami
(1)
iPhone 5C
(1)
iPhone 5S
(1)
iPhone 6
(1)
iPhone 6 Plus
(2)
Journey
(1)
Kenshin
(1)
Land
(1)
Last
(1)
Lincoln
(1)
Lone
(1)
Mama
(1)
Man
(2)
Miracle
(1)
No.7
(1)
One
(1)
One Day
(1)
Only
(1)
Piece
(1)
Place
(1)
Polisse
(1)
Promised
(1)
Ranger
(1)
Red 2
(1)
review
(1)
Rurouni
(1)
S4 Mini
(1)
Samsung
(2)
Sony Xperia Z1
(1)
Summer
(1)
Superzoom
(1)
Tai
(1)
Thailand
(1)
The Expatriate
(1)
The Host
(1)
Turbo
(1)
Unchained
(1)
Werewolf
(1)